วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับ'เสี่ยปู่' ทำไมถึงรวยจากตลาดหุ้น value invester

เคล็ดลับ'เสี่ยปู่' ทำไมถึงรวยจากตลาดหุ้น

“เสี่ยปู่”..สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล บอกว่า ปัจจุบันพอร์ตลงทุนมีหุ้นอยู่ทั้งหมดประมาณ 12 ตัว มูลค่า “หลักพันล้านบาท” มีกำไรเกือบทุกตัว

ลักษณะการลงทุนจะเล่นหุ้นคนเดียว เพราะมีรูปแบบการเล่นหุ้นไม่เหมือนใคร สมัยก่อนจะลงทุนแบบนักเก็งกำไร แต่เมื่อพอร์ตลงทุนใหญ่ขึ้นและมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เมื่อหลายปีก่อนก็ทำให้รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไป

“ผมอ่านหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ และเริ่มเปลี่ยนสไตล์มาเป็นแวลูอินเวสเตอร์ เดี๋ยวนี้รู้สึกดีที่พักหลังๆ เริ่มมีคนฟังคำแนะนำของผมมากขึ้น มีคนถามมากว่าอะไรทำให้เปลี่ยนมาลงทุนแนวนี้ ผมมักตอบเสมอว่าเป็นเพราะหนังสือของวอร์เรน บัฟเฟตต์” เสี่ยปู่ เล่าที่มาที่ไป

สำหรับเคล็ดลับพิชิตหุ้นสูตรแวลูอินเวสเตอร์รายนี้ มีหลักการพิจารณา 3 ข้อหลักๆ คือ

1.ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนอย่างละเอียด โดยจะเน้นเป็นพิเศษคือ “งบการเงิน” บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีจะเป็นตัวบ่งบอกทิศทางราคาหุ้นได้ค่อนข้างชัดเจน
“ผมจะย้อนดูว่าบริษัทนี้มีกำไรเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ และมองต่อไปว่าบริษัทนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 20% หรือไม่”

2. ดูบริษัทที่หุ้นมีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (ราคาต่ำกว่าส่วนของเจ้าของ) ถ้าผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีทิศทางการเติบโตที่ดีแต่ราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี หุ้นตัวนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ (แวลูอินเวสเตอร์จะบอกว่าหุ้นนั้นมี Margin of Safety)

3. จะดูลักษณะกิจการและดูรายรับต้องมากกว่ารายจ่าย (ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด หรือ EBITDA) เพราะจะเป็นตัวชี้ว่าถึงสิ้นปีบริษัทนี้จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับเท่าใด

“ผมเชื่อว่าหลักการเพียงเท่านี้ก็ทำกำไรได้แล้ว ผมจะแฮปปี้มากถ้าหุ้นที่ลงทุนให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลได้ประมาณ 10% ถ้าได้ขนาดนี้จะถือยาวไม่ยอมปล่อย” ประสบการณ์สอนให้เสี่ยปู่ฟังคนอื่นแต่เชื่อตัวเองมากกว่าเชื่อทุกคน

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รายชื่อหุ้นที่จ่ายปันผลเกิน 5% (10 ปีต่อเนื่อง 2547-2556)

photo  , 640x805 pixel , 96,938 bytes.
ในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน หลายคนต้องหันไปหาการลงทุนใน "หุ้นปันผล" เพื่อสร้างรายได้ที่สูงกว่าดอกเบี้ย ... ดร.กฤษฎา เสกตระกูล ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เขียนบทความลงใน Posttoday ฉบับเช้าวันนี้ รวบรวมรายชื่่อหุ้น 69 ตัว ที่จ่ายปันผลต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีติดต่อกัน และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในช่วงเวลาดังกล่าวเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 5% ครับ
แต่การนำรายชื่อนี้ไปใช้งาน ต้องระมัดระวังว่า ...
  1. หุ้นที่จ่ายปันผลดีในอดีต ไม่ได้รับประกันว่าจะจ่ายดีต่อเนื่องในอนาคต
  2. ถึงแม้หุ้นที่เราลงทุนจะให้ปันผลดี แต่ซื้อไปแล้วราคาอาจจะปรับลดลง เราก็อาจจะขาดทุนได้
  3. การลงทุนใน "หุ้นปันผล" ให้ได้ผลคุ้มค่า ควรลงทุนระยะยาว ตั้งแต่ 5-10 ปีขึ้นไปครับ
ปล. สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเลือกหุ้นเอง แนะนำให้ลงทุนผ่าน "กองทุนรวม" ก็ได้ครับ มีหลายกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นปันผลดี และมักจะระบุคำว่า "หุ้นปันผล" หรือ "High Dividend" ไว้ในชื่อกองทุนครับ
Cr:http://www.softganz.com/paper/page/3

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

มาเทรดให้เจ๊งกันเถอะ”

“มาเทรดให้เจ๊งกันเถอะ”

Cr:http://puktiwit.wordpress.com/2014/07/23/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0/
ของฝากนักช้อป
วันก่อนผมไปอ่านเจอบทความชิ้นหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาฝาก อันนี้ผมเขียนใหม่โดยสรุปหัวข้อมาแล้วก็อธิบายด้วยภาษาบ้านๆ ของผม รวมถึงเอามาผสมกับมุมมองและทัศนคติของตัวเองด้วย ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด นะจ๊ะ
“มาเทรดให้เจ๊งกันเถอะ”
1. เทรดทำไมไม่รู้ รู้แต่ว่าได้เงินก็พอ
ก่อนเทรด เราควรตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า เราเทรดในแต่ละครั้งเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายคืออะไร ตัวอย่างเช่น เราอาจจะเทรดชิลชิล และทำงานไป สไตล์มนุษย์เงินเดือนเทรดเดอร์ หรือ เราจะเทรดเพื่อเลี้ยงชีพ รายได้ทั้งหมดในชีวิตมาจากการเทรด สิ่งที่ทำให้เราต้องพิจารณาคำตอบที่จะแตกต่างกันนี้ก็คือ ความกดดัน เพราะความกดดันของการเทรดแต่ละจุดประสงค์จะแตกต่างกัน เช่น ถ้าเราเทรดเพื่อเลี้ยงชีพ ความกดดันก็จะมากกว่า และนั่นก็มีผลให้เรามีโอกาสพลาดมากกว่า เพราะเป็นเรื่องหนักกว่าที่จะจัดการกับภาวะความกดดัน / ระดับความกดดันมีผลต่อการเทรด แต่ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราจัดการกับความกดดันในระดับหนึ่งระดับใดไม่ได้ จะไม่สามารถเทรดได้ เช่น หากเรารับความกดดันของการเทรดเพื่อเลี้ยงชีพไม่ได้ ก็หันไปเทรดชิลชิลแบบสไตล์นักลงทุนซะ / แต่นั่นไม่ใช่สำหรับคนที่จะเอาดีทางด้านนี้ (หรือเทรดเลี้ยงชีพ) เพราะสิ่งที่คนกลุ่มหลังนี้จะต้องทำก็คือ การบาลานซ์ความกดดันให้ได้ การบาลานซ์ความกดดันหมายถึงการทำให้การเทรดที่มีรีเทิร์นเป็นผลตอบแทนระดับปลาซิวปลาสร้อยมีความสำคัญเท่ากับการพลาดที่หมายถึงเสียบ้านไปหลังหนึ่งเลย อะไรทำนองนั้น / และวิธีการสร้างบาลานซ์ที่ว่านี้คือการใช้ปริมาณการเทรดในแต่ละครั้งในระดับที่มีความสำคัญไม่มากนัก คือ เสียไปก็ชิลชิล จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณให้มากขึ้น ความสำเร็จและระบบที่ดีในการเทรดแต่ละครั้งสำหรับล็อทเล็กๆ จะทำให้เรามีความมั่นใจและสบายใจที่จะเทรด จนกระทั่งเราคุ้นเคยกับมันจากนั้นจึงเพิ่มระดับความยากขึ้นไป ด้วยปริมาณที่มากขึ้น และล็อทที่สูงขึ้น การบาลานซ์ของความกดดันจะเกิดขึ้นและพัฒนาจากจุดเล็กๆ ตรงนี้
2. ไม่ต้องสนกลยุทธ์
การทำอะไรเป็นกระบวนการเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการดีลกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวเงินของเรา ดังนั้น กลยุทธ์จึงมีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นั้นมีมากมาย แต่จงจำไว้ว่าสิ่งที่ทำเงินได้ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็น “ตัวของเราเอง” / ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เทคนิค พื้นฐาน หรือ ระบบเทรด แต่เป็นการเลือกหยิบมันมาใช้ของตัวเราเอง ด้วยวิธีการที่เข้าใจในสิ่งที่เราเลือกใช้อย่างถ่องแท้ และมีลำดับขั้นตอน / เราควรเริ่มจาก Technical Analysis ก่อน ไม่ใช่เพราะมันเป๊ะ เพราะไม่มีอะไรเป๊ะ แต่เพราะว่ามันคือภาพสรุปของตลาดที่เป็นรูปธรรมและเข้าถึงได้ง่ายที่สุด (ในนั้นมีข้อมูลที่ชัดเจนอยู่แล้ว) อย่างไรก็ตาม TA ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่า ในการเทรด เราจะถูกหรือผิด หรือ เราจะทำกำไรจากมันได้หรือไม่ แต่เป็นสิ่งที่บอกกับเราว่า เราจะสามารถลดระดับของความเสี่ยงของเราได้มากน้อยแค่ไหนในการสร้างโอกาสทำกำไร เพราะฉะนั้น TA ไม่ใช่การประเมินทิศทางของตลาด ไม่ใช่เกมรุก แต่เป็นเกมรับในการประเมินอัตราความเสี่ยงและใช้มันเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการสร้างสมดุลของเกมรับและเกมรุก คือ การปรับเกมรับเป็นเกมรุก เพื่อเข้าทำบนความเสี่ยงที่ถูกทำให้ลดทอนลงไป / นอกจากนี้ TA ไม่ได้เป็นเกมรุกในตัวของมันเอง เพราะในที่สุดแล้ว มันจะต้องถูกจับมารวมกับ Fundamental เพื่อรวมกันเป็นแผนกลยุทธ์ที่สำคัญต่อไป เราเปรียบเทียบ Fundamental ได้กับการมองเกลียวคลื่น เราประเมินจากพื้นฐานของ ศก. ว่า คลื่นย่อมดำเนินไปในทิศทางใด จากนั้นจึงเลือกหาจังหวะล้อไปกับเกลียวคลื่นให้ได้ในช่วงคลื่นที่เราได้เปรียบและมีความเสี่ยงที่น้อยที่สุด ซึ่ง TA จะเข้ามารองรับตรงนี้ การเรียบลำดับโครงสร้างกลยุทธ์จึงมีความสำคัญ
3. ทำให้ยุ่งยากซับซ้อนเข้าไว้
บางคนผิดพลาดกับแผนกลยุทธ์ของตัวเอง นั่นคือ ในบางครั้งเราเซ็ทอัพเทรดดิ้งแพลนในแบบที่มีรายละเอียดสูงมาก และซับซ้อนมาก จนกระทั่งองค์ประกอบของมันมีความขัดแย้งกันเอง และไม่นำไปสู่อะไร และสุดท้ายดันกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่มั่นใจที่จะ take execution ในการเทรด / การแก้ปัญหานี้คือ ถอยออกมา และพยายามตอบคำถามที่ง่ายที่สุดก่อน นั่นคือ เราจะต้องสร้างแผนการเทรดที่ตอบสนองต่อคำถามเหล่านี้ นั่นคือ เข้าที่ตรงไหน ออกที่ตรงไหน และรับความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดนั้น / ทั้งสามประเด็นคือคำถามเบื้องต้นที่ทุกกลยุทธ์จะต้องตอบสนองต่อมัน ก่อนที่จะไปถึงสิ่งที่ซับซ้อนกว่า ดังนั้น หากเรามีแผนการที่แสนจะน่าปวดหัว แต่กลับไม่มีความชัดเจนในสามสิ่งนี้เลย เราก็จะมีปัญหาแน่นอน / TA จะเป็นเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสามปัจจัยนี้ นอกจากนี้มันคือสิ่งที่ชี้วัดว่า การเทรดของเรามีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน รวมถึงความสามารถในการปกป้องผลกำไร / อย่างไรก็ตาม นอกจากที่ TA แล้ว ตัว Fundamental ก็จะบอกถึงจุดนี้ได้เหมือนกัน เพียงแต่จะซับซ้อนกว่า เพราะเราไม่สามารถค้นหาได้อย่าง 100% ว่าอะไรที่มาไดร์ฟราคาของสินทรัพย์ แต่เราสามารถบอกได้ว่า โดยพื้นฐานขนาดนี้หรือขนาดนั้น ราคาได้บิดผันไปจากที่มันควรจะเป็นมากน้อยเพียงใด และมันจะนำไปสู่อะไรต่อไป
4. แค้นต้องชำระ
จำไว้เสมอว่าการเทรดไม่ใช่เรื่องของการที่เรามองอะไรว่ามันถูกหรือผิด แต่เป็นเรื่องของการไปต่ออย่างไรถ้าเราผิด ดังนั้น หากเกิดความผิดพลาดขึ้นในแผนการของเรา ก็ต้องถือว่ามันคือขั้นตอนหนึ่งของการเรียนรู้ และไม่ควรที่จะเอาตัวเองไปผูกติดกับการเทรดนั้นๆ จนไม่กล้าที่จะทำอะไรอีกต่อไป เราจะต้องระลึกไว้เสมอว่า บทเรียนของความผิดพลาดจะทำให้มันไม่ถูกทำซ้ำขึ้นมาอีก ดังนั้น ถ้ามันเกิดขึ้นซ้ำๆ ก็ย่อมแปลว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย / จุดผิดพลาดสำคัญของผู้เล่นในตลาดจำนวนมากก็คือ ไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาด และดื้อแพ่งที่จะสู้กับมัน เช่น เมื่อผิดพลาดก็ไปเบิ้ลความผิดพลาดนั้นด้วยการถัวเฉลี่ย รวมถึง ความต้องการที่จะเอาชนะ ด้วยการปิดสถานะที่ผิดพลาด และเปิดสถานะใหม่ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าเดิมในทิศทางที่ตรงข้ามกันเพื่อเอาชนะ หรือคาดหวังว่าราคาของอะไรก็ตามจะกลับมา ณ จุดที่เคยวางแผนไว้ / สิ่งที่เราจะต้องยอมรับก็คือ แผนการณ์นั้นได้พังไปแล้ว นั่นหมายถึงกลยุทธ์ที่วางแผนมาก่อนหน้าไม่มีประสิทธิภาพอีกแล้ว เราจึงต้องยอมรับความล้มเหลวของการเทรดในครั้งนั้น ไม่ใช่ตื๊อต่อไปด้วยความหวังว่าตลาดจะกลับมาในทิศทางที่เราต้องการ เพราะการเทรดไม่ใช่เรื่องของ “ความคาดหวัง” แต่เป็นเรื่องของ “แผนการณ์กลยุทธ์” เมื่อแผนการง่อยรับประทาน เกิดความเพลี่ยงพล้ำในกลยุทธ เราก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ และไปต่อให้ได้
5. วินัยทำไม กรูไม่ใช่ทหาร
ทั้ง 4 ข้อข้างบนจะไม่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากการเจ๊งได้เลย ถ้าเราไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าวินัยในการเทรด มันคือคำพูดง๊ายง่าย เข้าใจก็ง่าย เท่ดี แต่ทำยากมาก นั่นคือ Plan your trade, Trade your plan / การฝึกฝนด้านระเบียบวินัยนั้นผูกพันกันอย่างใกล้ชิดกับ mentality นั่นคือ การมีมุมมองเกี่ยวกับการเทรด รวมถึงการควบคุมสภาวะบาล๊านซ์ระหว่างความกล้าและความกลัว ความโลภกับความไม่มั่นใจ ในประเด็นนี้มีสองด้านคือ หนึ่ง มุมมอง และสอง การควบคุมจิตใจ ระเบียบวินัยจะสามารถเข้าถึงได้ผ่านสองอย่างนี้และเราจำเป็นที่จะต้องใช้มันอย่างมีความยืดหยุ่น / ความยากก็จะอยู่ตรงสิ่งที่เรียกว่าความยืดหยุ่นนั่นเอง เพราะความยืดหยุ่นนี้คือตัวผลักดันหนึ่งที่จะพาเราไปสู่การสร้างสรรหรือครีเอทกลยุทธ์ต่อไป / การยืดหยุ่นที่ว่านี้มีความอ่อนไหวไม่ต่างจากสายพิณที่ไม่สามารถที่จะตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไปได้ และระเบียบวินัยก็เช่นกัน / ดังนั้น เวลาที่เราวางแผนการในการเทรด เราจะต้องมีระเบียบวินัยที่พัฒนามาจากมุมมองและการควบคุมความกดดัน ซึ่งเป็นเรื่องของ mentality และการรวมและสร้างสมดุลในสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันก็จะสร้างความคิดสร้างสรรเชิงกลยุทธขึ้นเป็นการต่อยอด / คำถามก็คือแค่ไหนจึงเรียกว่ายืดหยุ่น และมันก็อ่อนไหวเหลือเกินต่อการที่เราจะขาดระเบียบวินัย อันนี้เป็นคำถามที่ค่อนข้าง advanced แต่อย่างน้อยที่สุด ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เราควรเริ่มต้นจาก Plan you trade, Trade you plan ก่อนก็พอ

แชร์ เทคนิค การซื้อ/ขาย หุ้นที่ราคา เปิด/ปิด ให้ปลอดภัย

แชร์ เทคนิค การซื้อ/ขาย หุ้นที่ราคา เปิด/ปิด ให้ปลอดภัย

shared สามัญชน คนเล่นหุ้น’s status.
แชร์ เทคนิค การซื้อ/ขาย หุ้นที่ราคา เปิด/ปิด ให้ปลอดภัย
เป็นเทคนิคที่ไม่ใหม่อะไรนะครับ หลายคนน่าจะรู้แล้ว แต่หลายคนก็ยังไม่รู้ ผมแนะนำวิธีนี้ให้รุ่นน้อง/รุ่นพี่ หลายคนที่พึ่งเข้าตลาด ก็บอกว่าพึ่งรู้
ก็เลยอยากนำมาแชร์ไว้ในบอร์ด เทคนิคที่ว่า เกี่ยวข้องกับ การซื้อขายหุ้น ที่ราคาปิดหรือเปิดตลาด ที่เรียกว่า ATO/ATC นั่นเองครับ
ทุกคนคงทราบดีว่า ซื้อราคา ATO ATC คืออะไร มันก็คือ
ATO = การซื้อหรือขายหุ้นที่ราคาเปิด ซึ่งจะมี สองรอบ คือ ประมาณ 10 โมงเช้า และรอบบ่าย 14.30
ATC = การซื้อหรือขายหุ้นที่ราคาปิด ซึ่งจะมี รอบเดียว คือ ก่อนปิดตลาดประมาณ 16.30
ในช่วงก่อนปิดตลาดหลายคนมักใช้คำสั่ง ATC ในการซื้อหรือขายหุ้น โดยหวังว่าจะได้ราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาล่าสุดเล็กน้อย จึงตั้งซื้อหรือขาย ATC แล้วมาลุ้นว่าราคาปิดวันนั้นคือเท่าไหร่ เช่นสมมุติว่า ราคาของหุ้น A วิ่งอยู่ก่อน ปิดตลาดตอนเย็น ที่ 5.00 บาท คนที่อยากขายหุ้นก็มองว่า 5.00 นี่หละพอใจแล้วอยากขาย แต่ขอตั้ง ATC ละกันเผื่อว่า มันปิด 5.05 จะได้ได้กำไรมาอีกช่องนึง แต่ถ้ามันลงไป 4.95 ก็ยังรับได้อยู่ไม่ซีเรียส
ถ้าคุณคิดแบบนี้ แนะนำตอนที่ตลาด pre-close คือกระพริบ ATC อยู้ให้ตั้งขาย หุ้น A ที่ราคา 4.90 (ต่ำกว่าราคาที่ยอมรับได้ซัก 1ช่อง) ที่ให้ตั้งแบบนี้ เพราะเมื่อปิดตลาดแล้ว แม้ว่าราคาปิดจะปิดสูงกว่าราคา 4.90 ที่ตั้งขายไว้เช่นปิดที่ 4.95,5.00 หรือ 5.05 คุณจะขายหุ้น A ได้ที่ราคาปิดของวันนั้นแทนทันที แม้ว่าจะตั้งขายไว้ 4.90 ก็ตาม บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ถ้าชั้นตั้งขาย 4.90 แล้วตลาดมันปิด 5.00 ชั้นก็ซวยหน่ะสิขายได้ 4.90 เอง แทนที่จะได้ 5.00 ราคาปิด ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะราคาหุ้นที่ขายได้จะเป็นราคา 5.0 แทนแม้จะตั้งขายไว้ 4.90 ก็ตาม
วิธีนี้มีประโยชน์ อย่างไร ประโยชน์ คือคุณสามารถขายหุ้นได้ราคาปิด ตามเจตนาเดิม ในกรณีที่ปิดแล้วหุ้นโดดสูงกว่าเดิมก็ยังขายได้ราคาปิดตามนั้น เช่นราคาก่อนเข้าสู่ pre-close 5.0 แต่ปิด 5.05 ถึงแม้คุณจะตั้งขาย 4.90 ก็จะขายได้ราคาปิด 5.05 เหมือนกัน แต่การตั้งแบบนี้ดีกว่าตั้ง ATC ยังไง ดีตรงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดราคาปิดที่ผิดเพี้ยนจากราคาก่อนตลาดปิดไปมาก หลายๆคนคงเคยเห็นเหตุการ์ณกับหุ้นบางตัวที่ ราคาปิดกระโดดขึ้นโดดลง แบบผิดปกติ บางครั้งลงถึง floor หรือ ขึ้นถึง ceiling สมมุติว่าคุณตั้งขาย ATC แล้ว หุ้นโดดลงไปปิดที่ราคา floor 4.00 บาท จะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เกิดคือคุณขายหุ้นได้ ที่ 4.00 บาททันที ซึ่งอาจขาดทุนมหาศาลจากราคา 5.00 บาทที่ตั้งใจขายไว้ แต่ถ้าหากคุณตั้งขายไว้ 4.90 แทนการใช้ ATC ในกรณีเกิดเหตุการณ์นี้ หุ้นของคุณจะไม่ macth เพราะราคาปิด 4.00 ต่ำกว่าราคาขายที่ตั้งไว้ 4.90 ทำให้คุณรอดจากการขายหุ้นราคาขาดทุนยับเยิน
เช่นเดียวกับการซื้อหุ้น คนตั้งซื้อ ATC แล้วก็ภาวนาหวังให้มันโดดลงไปต่ำกว่าราคาก่อนปิด สัก 2-3 ช่องเพื่อจะได้ราคาถูกขึ้นมาอีกนิด ซึ่งคุณสามารถตั้งแบบใส่ราคาซื้อได้แทนการตั้งแบบ ATC ในช่วง pre-close เช่น หุ้น A ราคาก่อนปิด 5.00 บาท คุณก็อาจจะตั้งซื้อที่ 5.10 (สูงกว่าราคาที่ยอมรับได้ซัก 1 ช่อง) ถึงแม้ว่าหุ้น A จะปิดที่ ราคา 4.95 คุณก็จะได้หุ้นมาในราคาปิด 4.95 แม้จะตั้งซื้อไว้ว่า 5.10 ก็ตาม
การตั้งซื้อไว้ราคา 5.10 ไม่ทำให้คุณได้หุ้นแพงขึ้นหากราคาปิดคือ 4.95 คุณก็จะได้หุ้นที่ราคา 4.95
แต่การตั้งราคาซื้อ 5.10 ไว้แทนการซื้อด้วย ATC ก็จะช่วยกันการเกิดกรณีเดียวกับข้างบนคือ เกิดราคาปิดเกิดเหตุพิสดาร โดดไปปิดราคา celling หรือปิด 6.00 บาท ถ้าคุณสั่งซื้อแบบ ATC ก็จะได้หุ้นมาราคา 6.00 บาทซึ่งแพงกว่า 5.00 ก่อนปิดไปเยอะมาก และมีโอกาสขาดทุนสูงหากวันต่อไปมันกลับมาที่ 5.00 บาทเหมือนเดิม แต่ถ้าตั้ง 5.10 ไว้แล้วราคาปิดเป็น 6.00 หุ้นคุณจะไม่ match และรอดพ้นความเสียหายจากการที่ราคาหุ้นกระโดดแบบผิดธรรมชาติ
ความเสี่ยงเหล่านี้ ป้องกันได้ อย่าโทษตัวเองว่าตั้ง ATC แล้วไอ้บ้าที่ไหน มันถอนไม่ทันทำให้ชั้นโดนร่างแห ได้ราคาซื้อแพงติด celling หรือขายได้ ราคา floor แทนที่จะได้ราคาปกติ ไปด้วย
เทคนิดนี้ผมใช้ประจำเวลา จะเก็บหุ้น ราคาก่อนปิด เช่นเห็นหุ้นวิ่งก่อนปิด 5.00 และผมรู้สึกว่าราคานี้เหมาะสมอยากซื้อ 1000 หุ้น ผมก็ตั้ง 1000 หุ้น 5.10 บาท หากราคาปิดสรุปออกมาเป็น 4.90 ผมก็ใช้เงินแค่ 4.90*1000 ในการซื้อ 1000 หุ้นนี้ แม้จะตั้งซ์้อไว้ 5.10 บาทก็ตาม
การตั้ง 5.10 เพื่อระบุว่าผมยอมรับการดีดขึ้นของราคาหุ้น ณ ราคาปิดได้แค่ 5.10 บาท ถ้ามากกว่านี้ เช่นปิดที่ 5.5 6.0 ผมก็จะไม่ได้หุ้นไปโดยอัตโนมัติ
ผิดกับการซื้อแบบวัดดวงกับการติ้ก ATC ไม่ว่ามันจะปิดเท่าไหร่เช่น ถ้ามันปิด 5.5 6.0 คุณก็จะได้ราคานั้นไปโดยปริยาย
หวังว่าคงมีประโยชน์ครับ การลงทุนมีความเสี่ยงอยู่แล้ว แต่เรื่องบางเรื่องความรู้ความเข้าใจสามารถลดความเสี่ยงได้ อย่าปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นกับดวง ทั้งๆที่คุณกำหนดมันได้
Cr.เทิร์นอะราวเต่าหมุน
Cr:http://puktiwit.wordpress.com/2014/07/23/%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%AB/

หุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

หุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


http://puktiwit.wordpress.com/2014/07/26/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-10-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%94/
·
หุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 ก.ค. 57
การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมในระยะสั้นนั้นอาจจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรนักต่อหุ้นหรือการลงทุนในสายตาของ VI หรือคนที่ลงทุนระยะยาว แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมในระยะยาวนั้นผมคิดว่าเราต้องติดตามให้ดี เพราะสภาวะเศรษฐกิจและสังคมหรือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปนั้น ย่อมทำให้ความต้องการสินค้าและบริการของคนเปลี่ยนไป บริษัทหรือกิจการที่เคยรุ่งเรืองอาจจะถดถอยลง บริษัทใหม่หรือบริษัทเดิมที่ยังไม่สำคัญอาจจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่ และนั่นก็ทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านั้นกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” คือเป็นหุ้นที่จะเติบโตขึ้นต่อเนื่องยาวนานประมาณว่าเป็น 10 เท่า ในเวลา 10 ปี
บทเรียนเรื่องหุ้นกลุ่มที่ทำได้ดีเป็นช่วงเวลาประมาณ 10 ปี นั้น ถ้าดูจากตลาดหุ้นอเมริกาก็จะพบว่ามันเกิดขึ้นมาตลอด เช่น ในช่วงทศวรรษที่ 70 หรือตั้งแต่ปี 1970 ถึง 1980 นั้น หุ้นกลุ่มที่เติบโตโดดเด่นมากและทุกคนต่างก็เข้ามาลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีมากก็คือหุ้นที่เรียกว่า “Nifty Fifty” หรือหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตสูงอย่างเช่นหุ้น IBM หุ้น GM อะไรทำนองนี้ หุ้นเหล่านี้มักมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามีการปรับตัวลงซักพักก็จะขึ้นใหม่ ทุกคนเชื่อว่ามันเป็นหุ้น “ทางเดียว” คือมีแต่จะปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ และมีความมั่นคงสูง “ซื้อแล้วไม่ต้องขาย” แต่แล้ว พอถึงปลายทศวรรษ คนที่เข้าไปลงทุนก็ “เจ๊ง” เพราะการเติบโตของมันคงเริ่มสะดุดและราคาของมันขึ้นไปสูงมากเกินไป ทศวรรษที่ 80 ตามมาด้วยหุ้นน้ำมันที่ราคาของน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้นมโหฬารทำให้หุ้นน้ำมันกลายเป็น “พระเอก” ไป “10 ปี” แต่หลังจากที่ราคาน้ำมันถดถอยลงหุ้นก็ “ลงเหว” และสิ่งที่ตามมาก็คือในทศวรรษที่ 90 ที่หุ้นเกี่ยวกับยาและสินค้าไฮเทคเริ่มเป็นกระแสใหม่ของโลกที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ “ลงมาสู่ประชาชนทั่วไป” ดังนั้นทศวรรษที่ 90 จึงเป็นของหุ้นไฮเทค แต่พอขึ้นสหัสวรรษใหม่ปี 2000 “ฟองสบู่” หุ้นไฮเทคก็ “แตก” คนที่ร่ำรวยจากหุ้นเหล่านั้นหลายคนก็ “เจ๊ง” ทศวรรษใหม่ที่ตามมาเราได้เห็นโลก “เปลี่ยนแปลง” อย่างสำคัญอีกครั้งนั่นก็คือการก้าวขึ้นมาของประเทศกำลังพัฒนาที่มีคนมาก เช่นจีนและกลุ่ม BRIC ที่ต้องการวัตถุดิบมหาศาลและนี่นำมาซึ่งการ “บูม” ของสินค้าโภคภัณฑ์ และล่าสุดทศวรรษ 10 นี้ก็อาจจะเป็นหุ้นของสังคมข้อมูลออนไลน์ก็ได้
ตลาดหุ้นไทยเองนั้น ในอดีตเราก็ผ่านช่วงเวลา “10 ปี” ของความรุ่งเรืองของหุ้นแต่ละกลุ่มมาแล้ว โดยที่ 10 ปีสุดท้ายถึงวันนี้ผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาทองของกลุ่ม “ผู้บริโภค” ซึ่งส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาโดดเด่นมากกลายเป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ราคาหรือมูลค่าตลาดของหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 เท่าในช่วงเวลา 10 ปี นี่คงเป็นผลจากการที่คนไทยมีรายได้ต่อหัวถึงจุดที่สามารถบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพสูงในปริมาณที่มากขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวและทำให้บริษัทที่ประสบความสำเร็จเป็น “ผู้ชนะ” สามารถสร้างรายได้และผลกำไรมหาศาลซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปเร็วและต่อเนื่องติดต่อกันมานานหลายๆ ปี จนถึงปัจจุบัน แต่อนาคตอีก 10 ปีหรือในทศวรรษหน้า หุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกแล้วในวันนี้จะยังคงเติบโตต่อไปอีก 10 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้าหรือไม่? และถ้าไม่ใช่หุ้นในกลุ่มไหนหรือตัวไหนจะมีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น? นี่คือคำถามที่นักลงทุนคงอยากรู้
ก่อนที่จะเข้าประเด็นเรื่องการวิเคราะห์ทางด้านคุณภาพเรามาดูตัวเลขว่า “หุ้น 10 เด้ง ใน 10 ปี” นั้นจะต้องเป็นอย่างไร? ประการแรกเลยก็คือ หุ้นตัวนั้นจะต้องให้ผลตอบแทนหรือมีราคารวมปันผลปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นปีละอย่างน้อยประมาณ 26 % ขึ้นไปเป็นเวลาติดต่อกัน 10 ปี ฟังดูอาจจะไม่สูงสำหรับหุ้นหลายตัวที่อาจจะปรับตัวขึ้นเป็น 100% ในเวลาอันสั้นไม่กี่วันหรือเดือน แต่ประเด็นก็คือ หุ้นเหล่านั้นมักจะดีแต่ในช่วงสั้น ๆ หุ้นที่ปรับตัวยาวติดต่อกันปีแล้วปีเล่านั้นมักจะหาได้ยาก
ข้อที่สองของตัวเลขก็คือ ถ้าราคาจะปรับตัวขึ้นปีละ 26% กำไรของบริษัทก็ควรจะต้องปรับตัวขึ้นอย่างน้อยปีละ 26%แบบทบต้นเป็นเวลา 10 ปีด้วย แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับกิจการขนาดใหญ่ที่จะเติบโตได้ในอัตราขนาดนั้น ดังนั้น สำหรับหุ้น 10 เด้งใน 10 ปี ที่เกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้นไทย ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะมีกำไรแบบทบต้นไม่ถึง 26% ต่อปี แต่โตขึ้นเช่นเพียง 17%-18% ขึ้นไปเท่านั้นซึ่งทำให้ราคาหุ้นควรจะขึ้นไปเป็นเพียง 5 เท่าในเวลา 10 ปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความนิยมของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ค่า PE ของหุ้นถูกปรับขึ้นเป็นเท่าตัวหรือมากกว่านั้นซึ่งทำให้ราคาหุ้นที่ควรขึ้นไป 5 เท่า กลายเป็นเพิ่มขึ้นไป 10 เท่าและกลายเป็นหุ้น 10 เด้ง ตัวอย่างก็เช่น หุ้นในกลุ่มค้าปลีกนั้น ถ้าดูเมื่อ 10 ปีที่แล้วจะพบว่าไม่ค่อยมีใครสนใจ ค่า PE ของหุ้นจึงเป็นแค่ 10 เท่าต้น ๆ แต่ถึงปัจจุบันค่า PE กลายเป็นกว่า
20 เท่า เช่นเดียวกับหุ้นโรงพยาบาลที่เป็นซุปเปอร์สต็อกในปัจจุบันนั้น เมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่มีนักลงทุนคนไหนสนใจ ค่า PE จึงค่อนข้างต่ำอย่างมากก็ 10 กว่าเท่า แต่ในปัจจุบันก็มีค่า PE หลายสิบเท่า
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพของหุ้น 10 เด้งในอีก 10 ปี ข้างหน้านั้น ผมคิดว่าน่าจะคล้าย ๆ กับหุ้น 10 เด้งในอดีต นั่นก็คือ ข้อแรก มันควรเป็นหุ้นที่อยู่ใน “เทรนด์” ของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่จะเติบโตเร็วต่อไปในอนาคตอย่างน้อย 5-6 ปี ขึ้นไป ข้อสอง มันควรจะเป็นหุ้นของผู้ชนะเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอันดับหนึ่ง และถ้าจะให้ดีต้องเหนือกว่าอันดับสองมาก ข้อสาม การชนะของบริษัทจะก่อให้เกิดความได้เปรียบในด้านของการแข่งขันอย่างถาวร เช่น ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนเนื่องจากขนาดของบริษัทที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมาก หรือการชนะทำให้ชื่อเสียงหรือแบรนด์เนมของสินค้าเป็นที่ยอมรับว่าเหนือกว่ารายอื่นอย่างชัดเจน เป็นต้น ข้อที่สี่ หุ้นที่จะเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้น ควรที่จะเป็นกิจการที่ไม่ต้องลงทุนในการขยายงานสูงและเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดีถึงดีมาก และสุดท้ายก็คือ ขนาดของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจนั้นจะต้องใหญ่พอที่จะรองรับการขยายตัวของบริษัทที่จะโตขึ้นอีก 10 เท่าได้
จากเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นก็จะพบว่าผมไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวไหนหรือกลุ่มไหนจะเป็นหุ้น 10 เด้งในทศวรรษหน้า สิ่งที่บอกได้ก็คือ หุ้นแบบไหนหรือกิจการแบบไหนจะไม่สามารถเป็นหุ้น 10 เด้งได้มากกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ หุ้นที่เป็นหุ้น 10 เด้งแล้วในปัจจุบันอย่างหุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่ทั้งหลายนั้น ผมคิดว่าไม่สามารถเป็นหุ้น 10 เด้งในอนาคต เหตุเพราะว่าถ้าเป็นอย่างนั้น มูลค่าหุ้นของมันจะต้องสูงจนแทบจะ “กลืนกิน” อุตสาหกรรมทั้งหมดซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ หุ้นกลุ่มที่กำลังร้อนแรงมากและเข้าข่ายว่าอาจจะเป็นธุรกิจที่จะเติบโตไปได้อีกหลาย ๆ ปี เช่น หุ้นพลังงานทดแทนแนว “โซลาร์ฟาร์ม” นั้น ผมก็คิดว่ายากที่จะเป็นซุปเปอร์สต็อกเนื่องจากมันเป็นกิจการที่ต้องลงทุนสูงถ้าจะโต นอกจากนั้น มันยังยากที่จะหาผู้ชนะจริง ๆ เนื่องจากทุกวันนี้อุตสาหกรรมจริง ๆ ยังไม่ได้มีการแข่งขันแต่เป็นเรื่องที่ยังต้องการการสนับสนุนจากรัฐเพื่อที่จะอยู่รอด
ก่อนที่จะจบบทความนี้ ผมคงต้องบอกว่าสิ่งที่ผมพูดนั้น เป็นเรื่องของ “พื้นฐาน” ของกิจการที่ จะส่งผลให้หุ้นมีโอกาสกลายเป็นหุ้น 10 เด้งใน 10 ปี สำหรับหุ้นขนาดพอสมควรที่เน้นในด้านของการเติบโตของธุรกิจตามปกติ แน่นอน หุ้นขนาดเล็กหรือขนาดจิ๋วที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่และกลายเป็นหุ้น 10 เด้งนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาและไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ์ได้ เช่นเดียวกับหุ้น Turnaround หรือหุ้นฟื้นตัว หรือหุ้น Cyclical หรือหุ้นวัฏจักร เหล่านี้ก็มีโอกาสเป็นหุ้น 10 เด้งได้ แต่ความเสี่ยงในการลงทุนก็สูงและผมเองก็ไม่มีความสามารถจะกำหนดตัวได้ ว่าที่จริง แม้แต่หุ้น 10 เด้งในอดีตที่ผมได้ลงทุนมาหลาย ๆ ตัวนั้น ตอนที่เริ่มลงทุนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นหุ้น 10 เด้ง เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว โดยที่โชคดีที่ผมไม่ได้ขายมัน ผมถึงได้รู้ว่ามันเป็นหุ้น 10 เด้งที่ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง ถึงนาทีนี้ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะได้หุ้น 10 เด้งในจำนวนเหมือนเดิม เหตุผลง่ายที่สุดก็คือ หุ้นที่ผมถือในปัจจุบันต่างก็เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่คงไม่สามารถโตได้ขนาดนั้นใน

เกล็ดความรู้ง่ายๆ ที่เม่ามือใหม่ต้องรู้ ทำไง ถ้าหุ้นที่เราถือ จะเพิ่มทุน ==

http://puktiwit.wordpress.com/2013/05/04/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A1/

เกล็ดความรู้ง่ายๆ ที่เม่ามือใหม่ต้องรู้ ทำไง ถ้าหุ้นที่เราถือ จะเพิ่มทุน ==

==== เกล็ดความรู้ง่ายๆ ที่เม่ามือใหม่ต้องรู้ ทำไง ถ้าหุ้นที่เราถือ จะเพิ่มทุน ====
กระทู้สนทนา
หุ้นการลงทุน
เห็น ตอนนี้ N-Park กำัลังจะเพิ่มทุนโดย ขี้น XR วันที่ 13 พ.ค.นี้ ขึ้น XR
ให้สิทธิ์จองเพิ่มทุน 2:1 ในราคา 0.029 บาท
มีน้องมือใหม่ หลายคน ยังสับสน กับการเพิ่มทุน และ ยังคิดไม่อออกว่า จะทำอย่างไร
บางคน คิดว่าเพิ่มทุนต้องจ่ายเิงินเพิ่ม แล้วไม่มีเงินต้องขายทิ้ง(อันนี้ ยังไม่เท่าไร)
แต่อีกพวก นี่คิดว่า ถือต่อไปเฉยๆ โดยไม่เพิ่มทุนได้มั้ย คำตอบ คือ ได้ แต่มันเสียหาย เนื่องจากหุ้นมัน จะราคา Dilute ลงมา
ดังนั้น แม้จะเรื่องง่ายๆ ที่ คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นรู้กันอยู่แล้ว แต่ อยากเอามาบอกมือใหม่ กัน ตรงนี้อีกที
=================================================
ยกตัวอย่าง เคส N Park นี่เลยก็ ล่ะกัน
หุ้นจะเพิ่มทุน โดยให้สิทธิ์จองเพิ่มทุน 2:1 ในราคา 0.029 บาท
XR วันที่ 13 พ.ค.นี้ ขึ้น XR
นั่นคือ ถ้าคุณมีอยู่ 2 หุ้นคุณจะได้สิทธิ์ซื้อเพิ่มทุนใหม่ได้ 1 หุ้นใน ราคา 0.029
ถ้าราคาแม่ ณ วันก่อนขึ้น XR ยังอยู่ตรงราคาวันนี้ คือ 17 สตางค์
วันขึ้้น XR (วันที่ 13 พค.) คนที่ซื้อหุ้นวันนั้น จะไม่ไ้ด้สิทธิ์จองหุ้นเพิ่มทุน ดังนั้นมูลค่าที่แท้จริงของมันที่ตลาดจะใช้เป็นราคา ฐาน คำนวน ซิลลิ่ง และฟลอร์ในวันนั้น มันจะ Dilute ลงมา เหลือตามต้นทุนรวมที่แท้จริง ประมาณ { (.17X2) + .029 } /3 เหลือ ประมาณ .12-.13 สตางค์ ( ส่วนราคา ในกระดาน อาจจะสูงกว่า หรือต่ำกว่านี้ได้นิดหน่อย ได้แต่ไม่มากนัก)
ดังนั้นคนที่ถือหุ้นนี้ไว้ ณ วันนี้ ยังไม่ขึ้น XR ต้องคิดตัดสินใจ ว่าจะจัดการ อย่างไรกับมันดี
1 ถ้าคิดว่า การเพิ่มทุนไม่ดี ก็ควรต้องขายออกไปก่อน XR หรือขาย ณ ตอนนี้ ซึ่งยังได้ราคาสูง ประมาณ .17 บาท
2 ถ้าคิดว่า การเพิ่มทุนดี บริษัทยังมีอนาคต เพิ่มทุนแล้วน่าจะไปต่อ ก็ถือต่อไป แล้วเตรียมเงินไว้จ่าย ค่าหุ้นเพิ่มทุน ด้วยเมื่อถึงกำหนดเพิ่มทุน
3 คิดเหมือนข้อสอง คือคิดว่าบริษัทยังดี น่าจะไปต่อได้ ไม่อยากขายทิ้ง แต่ไม่มีเงินจะมาเพิ่มทุน หรือ มีแต่ไม่อยากจะใส่เงินเพิ่มเข้ามาักับหุ้นตัวนี้ เลยคิดว่าจะถือต่อไปเฉยๆ โดยไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนดีมั้ย
อันข้อ 3 นี่แหละคือ พวกที่ห่วง และ ห้ามทำเด็ดขาด
เพราะว่า ถ้าืถือไว้เฉยๆ โดยไม่ขายออก ก่อน XR และไม่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนด้วย พอวันขึ้น XR แล้ว ราคาหุ้นมันจะ Dilute ลงอย่างที่บอกไว้ข้างบน เราจะขาดทุนทันที ห้ามทำเด็ดขาด ต้องเลือก ทางเลือกที่ 1 หรือ 2 ข้างบน
แต่ถ้า ไม่เลือก ทั้ง 1 และ 2 ข้างบน แต่อยากถือต่อ แต่ไม่เติมเงินเพิ่มล่ะ ทำได้มั้ย
ตอบว่าทำได้ครับ ทำโดยทางเลือกที่ 4
4 ถ้าอยากถือยาว แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าหุ้นเพิ่มทุน หรือ ไม่อยากเติมเงินเพิ่มเข้ามา กับหุ้นตัวนี้ ก็ขายแม่ออกมาบางส่วนให้พอ กับการเพิ่มทุน ก่อน XR แล้ว พอถึง เวลา ก็เอาไปเพิ่มทุนได้ครับ
เช่น ถ้าวันนี้ มี N Park อยู่ 2,000,000 หุ้น
ต้องเพิ่มทุน 1 ล้านหุ้น ใช้เงิน 29,000 บาท
เราก็ ขายหุ้นออกมาก่อน XR (หรือ ขายตอนนี้เลย ) ซัก 170,000 หุ้น (ถ้าราคา ยังอยู่ 17 ตังค์ ก็จะได้ 28900 บาท
หุ้นที่เหลือ 1,830,000 หุ้น ต้อง เพิ่มทุน 915,000 X .029 ใช้เงิน 26,500 บาท (เอาเงินที่ขายออกมานั่นเติมก็พอ เหลือ อีก 2400 บาท เอาไปฉลองมื้อเล็กกับครอบครัว ก็ได้ )
ซึ่งสุดท้าย หลังการเพิ่มทุน คุณจะมีหุ้นในมือ 1,830,000 +915,000 รวม 2,745,000 หุ้น มากกว่าเดิม(แม้จะราคา dilute ลงมาก็ไม่เสียหาย ) เหมือนกับ การถือไว้เฉยๆ แต่ไม่เพิ่มทุน
ถ้าคิดมูลค่า สมมุติ ว่า ราคาลงมาเหลือ .13 มูลค่าในพอร์ตคุณ ก็ยังเป็น 2,745,000 X .13 = 356,850 บาท
แทนที่ถ้าถือไว้เฉยๆ มันจะเหลือแค่ .13 X 2 ล้าน = 260,000
จาก ที่ ก่อน XR ยังไม่ Dilute มันมีมูลค่า .17 X2 ล้าน = 340,000
ถ้าหุ้นเพิ่มทุน มันจัดสรร ในสัดส่วนที่สูง หรือ ราคาสูง ต้องใช้เิงินเพิ่มทุนมากก็อาจจะต้องขายหุ้นเดิมออกมามากลองคำนวนกันตามส่วนมันครับ
พวกที่จะเสียหายจากการเพิ่มทุนแล้ว ไม่ได้เพิ่ม แบบนี้ นอกจากคนที่เ้ข้าใจผิดแล้ว คนที่ซื้อหุ้นแล้วฝังลืม ไม่ค่อยได้ติดตาม ไม่เปิดจม.แจ้งข่าวจากโบรคเกอร์ ก็อาจจะทำให้พลาดข่าว และ เสียหายได้เหมือนกัน ลงทุนในหุ้นจึงต้องคอยตาม ดูด้วยเหมือนทำธุรกิจ
คงเห็นภาพ และได้ แนวทาง ในการแก้ปัญหา นะครับ
ขออภัยมือเก่าที่ เอาเรื่องพื้นๆมา เล่ากัน แต่คิดว่า กฏเกณฑ์ เล็กๆน้อยๆอย่างนี้ ทุกคน ต้องรู้ไว้ ครับ ไม่งั้นเล่นหุ้นขาดทุนตายหมด
อันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งเรืื่องที่ เม่ามือใหม่ต้องรู้ ถ้าเล่นหุ้น และไม่อยากให้ขาดทุนโดยอุบัติเหตุ
แก้ไขข้อความเมื่อ 14 ชั่วโมงที่แล้ว
147 136

การเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นผลดีหรือผลเสียคะ

การเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นผลดีหรือผลเสียคะ
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2011/03/I10300420/I10300420.html

วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เพิ่งค้นพบ สไตล์การลงทุน ของตนเอง pantip

เพิ่งค้นพบ สไตล์การลงทุน ของตนเอง

กระทู้สนทนา
ผมลงทุนในหุ้นมาได้ 8-9 ปี
ตั้งแต่ช่วงก่อน ซับไพร์ม ปีนึง 
ลงทุนเริ่มต้นด้วยเงินเก็บ 100,000 บาทถ้วน

ภายในปีเดียว สามารถ ****** ทำเงินแสน ให้เปนเงินหมื่นได้ !!!!!
ด้วยความไม่รู้อะไร เกี่ยวกับหุ้นเลย  เล่นหุ้นเหมือนเล่นหวย หรือ เชียร์มวย(ตามมาร์ มาร์ว่าไงเราว่าตาม) ซื้อขายแบบไม่รู้พื้นฐาน  ไม่รู้เทคนิค  เดาล้วนๆ แรกๆได้กำไร
ดีใจ ได้มาหลายพัน ต่อรอบ   ตอนเสียวันนึง หลายหมื่น จนสุดท้าย  ตังค์แทบจะหมด  เหลือไม่กี่หมื่น  เลยเลิกเล่น ...... พักไป หลายปี ตังค์หมด 

แล้วหุ้นก้อลงๆๆๆ ดิ่งๆๆ  จาก 800 กว่า  เหลือ 400 กว่า  วิกฤติ ซับไพร์ม

แล้วก็ซึมๆไปหลายปี  จนหุ้นขึ้นๆๆๆ มาจนถึง 1600 กว่า (ตอนนั้นไม่มีตังคฺ์)
แต่ก็ศึกษาหาความรู้ ติดตามอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ  ศึกษาเน้นไปทางแนว vi
ดูงบการเงิน ดูแนวโน้ม ดูเทรนด์  เมกาเทรนด์  ดูราคาที่เหมาะสม p/e     p/b
roa  roe  กำไร ขาดทุน  ปันผล  ดูหมด
อ่านเพลินๆ ดูชิวๆ แล้วก็ทบทวนตัวเอง ถึงความผิดพลาด ดูถึงนิสัยการลงทุน
ของตนเอง 

หุ้นขึ้นเอาๆผมก็ยังไม่เล่นหุ้น  จะรอจนกว่าจะเกิดวิกฤติ เสดตะกิต อีกครั้ง
รอแล้วรอเล่า จนหุ้นล่วงมา 1300กว่า  ตอนมีม้อบ  ผมก็ยังไม่หวนคืนวงการ
จดๆจ้องๆ  จนหุ้นที่เปนตัวชักจูงผมเข้าสู่วงการ คือ ichi ผมชอบมาก
กะจะซื้อแต่วันแรก  แต่ก้อไม่ได้ซื้อเพราะติดขัดเรื่องบัญชี  เสียดายมากเพราะชอบตั้งแต่โออิชิแล้ว  ก็ไปเดินเรื่องบัญชี  ร้อนวิชา..... อยากลงสนาม หวนคืนสู่วงการ

พอบัญชีพร้อม ด้วยเงินลงทุนเย็นๆ 200,000 บาท หุ้นปฐมฤกษ์  การหวนคืนสู่วงการตัวแรกคือ ea  ก้อกำไรไปนิดหน่อยตามสูตร แล้วนิสัยเดิมๆก็เหมือนเดิม คือ
** อยากได้กำไรไวไว  คิดเปนวัน
** ชอบหุ้นปั่น โดยไม่รู้พื้นฐาน
ก็ตามดูนิสัยตัวเอง  จนไปจับตัวนึงหุ้น ipo ชื่อ tae
ซื้อเมื่อวันที่สอง ตอนยอดดอย 6.05 บาท แล้วไปขายตัดขาดทุน
เท่ไหร่จำไม่ได้ แต่ขาดทุนไป หมื่นกว่าบาท  ก็ได้สติ  กลับมาทบทวนดูใหม่  เราพลาดตรงไหนอีก.....

ก็สรุปคือ ยังไม่มีความรู้  ด้านพื้นฐานหุ้นก็เข้าวิ่งไล่ตามแร่ะ
เลยเริ่มใหม่  ทีนี้จะศึกษาพื้นฐานหุ้น ดูงบการเงิน  ราคาเหมาะสม  p/e 
ดูเทรนด์ คัดเลือกหุ้นที่มีปันผลดีต่อเนื่อง  จนมั่นใจ  ทีนี้กะซื้อยาวเปนปี
ก็คัดได้หุ้นที่น่าสนใจหลายตัว  เน้นตัวใหม่ๆ หรือ หุ้นเงียบๆหรือ  ตัวเล็ก(market cap ไม่เกิน 4000ล้านบาทบ้าง) แต่ทุกตัวต้องมีปันผลดีเท่านั้น  ปันผลต่อเนื่องืทุกปี
บางตัวอาจจะ ไม่ค่อยดัง การซื้อขายเบาบางดุจปุยนุ่น  นั่นแหละดี!!!!  ราคายังไม่ถูกปั่น   ก็ไปได้
หุ้นโรงบาล  ntv , vih
หุ้นพลังงาน   tae (ยังไม่รู้ปันผลเลย แต่ดูเทรนด์แล้วพอไปได้ เอทานอลในเชื้อเพลิง)
หุ้นอุปโภค  ichi (ชอบๆ เล็งมานาน)
หุ้นสื่อสาร intuch
หุ้นขนส่ง bts

หุ้นแต่ละตัว มีข้อดี ข้อด้อยต่างกัน
จุดประสงค์การลงทุนก็ต่างกัน

แต่******* หลักการ หรือ สไตล์การลงทุน (ส่วนตัว) ********
พอจะสรุปคร่าวๆคือ
1.สนใจดูแต่หุ้นพื้นฐานดีเท่านั้น  มีปันผลทุกปีต่อเนิ่อง  หุ้นต้องมีแนวโน้มเจริญเติบโตเรื่อยๆ ไม่ใช่หุ้นเล่นข่าว  ทำกำไรได้จริงๆ อย่างมั่นคง  ไม่เน้นหุ้นการเมือง

2.แบ่งเงินลงทุน เปนหลายส่วน กระจายไป ในหุ้นแต่ละตัวเท่าๆกัน จะได้คำนวณง่าย เช่นตัวละ 50,000 บาท

3. เวลาซื้อเผื่อเศษไว้ขาย ทำกำไรไว้บ้าง  เช่น กะจะศื้อ 50000 บาท ก็ซื้อ 60000 บาท

4. เมื่อซื้อหุ้นแล้ว  สมมุติหุ้นขึ้น บางตัวตั้งใจว่าถ้าขึ้นไป เกิน 5%จะขายบางส่วนเอากำไรคืนมาบ้าง เช่น vih , ntv กะถือยาวก็จริงแต่ราคามีสวิงบ้าง พอขึ้นไป 5% ก็ขายครึ่งนึง  พอบางทีมันลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ 5% (ช่วงนี้ยาก ตอนนี้เปนขาขึ้น) ก็ซื้อเพิ่มถัวราคา  จะไม่มีการขายหมดโดยเด็ดขาด  กะเก็บยาวไปเรื่อยๆ  แต่ก็มีกำไรบ้าง

หุ้นบางตัวกะขายบางส่วนตรง เขียว 10% ซื้อเพิ่มตอน แดง 5%

5. เมื่อซื้อหุ้นแล้ว  ให้บอกกับตัวเองว่า เราซื้อด้วยเหตุผล  พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว
ถ้ามันลงไปบ้างก็อย่าไป ตื่นเต้น  ให้มั่นใจพื้นฐานหุ้นที่เราเลือกว่า  หุ้นดี มีแนวโน้มเจริญเติบโต
- พอหุ้นขึ้นไปมากพอสมควร ก็อย่าไปรีบขายหมด  ขายแค่บางส่วน  เต็มที่แค่ครึ่ง
เดียว  ***ซื้อครึ่ง  ขายครึ่ง***
  ให้ ทนรวย ให้ได้ อย่าตื่นเต้น มาก
อย่างนีอยเห็นอะไรเขียวๆ ก็ดีกว่า สบายตาดี เก็บหุ้นไว้ดูเล่น
หุ้นบางตัว ขึ้นไปเขียว 10%กว่า แล้วก็ลงมาเหลือเขียว 7-8% ก็ไม่ต้องเสียดาย
เปนธรรมดา

ถ้าทำอย่างนี้แล้ว  หุ้นขึ้นเราก็ได้ขายทำกำไร   หุ้นลงเราก็ได้ซื้อถัวราคาถูกลง
พอได้เงินเพิ่มเราก็ไปซื้อเพิ่มได้  จะไม่ขายล้างพอร์ตเด็ดขาด  ท่องไว้ๆๆๆ
หุ้นดีควรเก็บไว้ ตอนยังถูก   หุ้นที่ไม่ดี  คัททิ้ง

แต่ว่าตั้งแต่ขายหุ้นไปยังไม่มีโอกาสซื้อถัวราคาเลย  ช่วงนี้หุ้นขึ้นมาพอสมควร
เพราะการเมืองดีขึ้น   แต่ก็ยังเกรงๆ ระเบิดเวลา วิกฤติเสดตะกิต  ซึ่งก็ครบรอบสิบปีแล้ว  ยังมีระเบิดเวลาเรื่องหนี้ครัวเรือนรออยู่ แต่ก็ไม่กังวลม่าก เพราะเวินส่วนนี้ที่นำมาลงทุนในหุ้น  เปนแค่บางส่วน  เปนเงินเย้นเย็น ผมได้แบ่งเงินบางส่วนลงทุน
ไว้ในที่ดินบ้าง ปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจ พะยูง ยางนา  ไม้ผล  ไม้ปรัะดับไว้บ้าง, บางส่วนลงทุนในธุรกิจ  ไว้หมุนในชีวิตประจำวัน

***** ทำแบบนี้เราจะพอมีเงินสดไว้ซื้อหุ้นดีๆ  เสมอๆ  พอร์ตหุ้นจะมีสภาพคล่องเสมอ
ทั้งตอนหุ้นขึ้น เราก็มีหุ้นไว้ทำกำไร  รับปันผล   พอหุ้นลงก็มีเงินไว้ซื้อถัวราคา

6. การลงทุนที่ไม่ หมกมุ่นมาก  ต้องปล่อยวางได้
กินอิ่ม  นอนหลับ  สนุกกับการลงทุน   บางทีผมสามารุถจะทิ้งการติดตามหุ้นได้
หลายๆวัน หรือเปนอาทิตย์  เพราะเรามั่นใจในพื้นฐานหุ้นที่ดี  และ บางตัวเปนหุ้นเงียบคนไม่สนใจ(ตอนนี้น่ะไม่รู้จะปั่นกันเมื่อไหร่)

เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ใหญ่  พอต้นกล้าตั้งตัวได้ เราก็ปล่อยๆ ทิ้งๆมันไว้บ้าง
ในเมื่อเรามั่นใจ ในต้นพันูธุ์(หุ้นที่เลือก)
ให้มันเจริญเติบโตมันเอง หุ้นที่ดีมีแต่จะโตขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ  บางตัวแพงตลอด(p/eศูงตลอดกาล)  นานๆ มาถางหญ้า  ตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยสักทีนึง
พอมาดูอีกที  โอ้โห  ต้นเบ่อเร่อเลย

http://pantip.com/topic/32357407

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วิกฤติใหญ่ตลาดหุ้นไทย #2 (2536-2541) : ความเสี่ยง ผลตอบแทน และ ผลลัพธ์การลงทุนแบบ DCA ฝ่าวิกฤติ - See more at: http://www.a-academy.net/blog/set-crisis-2/#sthash.oDLF7GhV.IkyyEbOH.dpuf

วิกฤติใหญ่ตลาดหุ้นไทย #2 (2536-2541) : ความเสี่ยง ผลตอบแทน และ ผลลัพธ์การลงทุนแบบ DCA ฝ่าวิกฤติ


บทความนี้เป็นบทความตอนที่ 2 เกี่ยวกับ “อภิมหาความเสี่ยง” ประเภท “Super Tail Risk
ที่เคยปรากฎขึ้นในตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์เปิดทำการเมื่อปี 2518
เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น ผมแนะนำให้อ่านตอนแรกก่อนที่นี่ครับ
มหาวิกฤติในครั้งที่ 2 นี้ จะยิ่งทำให้เราตระหนักถึง “ความเสี่ยง” ที่แท้จริง มากขึ้นกว่าวิกฤติในปี 2522-2525
เพราะครั้งนี้ประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของความเสียหาย ทำให้หุ้นตกนานกว่า และ เสียหายมากกว่า!
เหตุการณ์ครั้งนี้คือ “Asian Financial Crisis” หรือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ซึ่งเกิดขึ้นช่วงปี 2536 – 2541
วิกฤติใหญ่ตลาดหุ้นไทย #2 (2536 – 2541)
เหตุการณ์ครั้งนี้ ตามบันทึกที่อยู่ใน พัฒนาการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 36 ปี ซึ่งสรุปและเก็บข้อมูลเหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นไทยเอาไว้ ระบุเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นช่วงดังกล่าวไว้ดังนี้
  1. เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 ก่อนเกิดวิกฤติเล็กน้อย
  2. วิกฤติค่าเงินเปโซของเม็กซิโก ในปี 2538
  3. แบริ่ง ซิเคียวริตี้สิงคโปร์ประสบภาวะขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ในปี 2538
    (โดย Nick Leeson เทรดเดอร์ชื่อดัง… เผื่อว่าใครเคยดูหนังเรื่อง Rogue Trader)
  4. วิกฤติสถาบันการเงินในเอเชีย (Asian Financial Crisis) ในปี 2540
  5. การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท การปิดสถาบันการเงิน การขอความช่วยเหลือจาก IMF ในปี 2540 เช่นกัน
จะเห็นว่า นอกจากเหตุการณ์ในประเทศไทยเองแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์แวดล้อมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศร่วมด้วย
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นก็เป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ ซึ่งกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นกัน

ผลขาดทุน

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดหุ้นไทย โดยดัชนี SET Index ปรับลดลงต่อเนื่องถึง “4 ปี 8 เดือน
นั้บตั้งแต่ ธ.ค. 2536 ถึง ส.ค. 2541
โดย SET Index ปรับลงจากจุดสูงสุด ณ สิ้นปี 36 ที่ 1682.85 จุด ไปอยู่ที่ 214.53 จุด คิดเป็นการขาดทุนถึง 87.3%
แต่ถ้าวัดด้วยดัชนี SET Total Return ซึ่งรวมเอาผลตอบแทนจากเงินปันผลเข้าไปด้วย ก็จะขาดทุนที่ 85.9%
ซึ่งแทบจะไม่ต่างกันเลย
ถึงจุดนี้ ผมอยากให้หยุดอ่าน แล้วลองจินตนาการตามดูนะครับ
กับบางท่าน แค่หุ้นตกไม่กี่วัน ก็เป็นทุกข์ใจแล้ว… แต่นี่ซัดไปเป็นขาลงเกือบ 5 ปีนะครับ
ถ้าใครถือหุ้นผ่านช่วงนี้… เงิน 100 บาทที่ลงทุนไว้ จะลดลงไปเหลือต่ำสุดแค่ประมาณ 15 บาทเท่านั้น
ที่ลดลงได้มากขนาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะนักลงทุนทนไม่ไหว เทขายลงมาตลอดทาง
ถ้าลองดูในกราฟจะเห็นว่า ช่วงปี 2536-2538 ก็ยังไม่เท่าไร เพราะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ
แต่พอเริ่มเข้าปี 2539 ที่สถานการณ์ในประเทศเริ่มเห็นภาพชัดว่า “ไม่รอดแน่” SET Index ก็ไหลลงเป็น “น้ำตก” เลย

ระยะเวลาคืนทุน

หากใครถือคติว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน” คือเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่ ธ.ค. 36
ซึ่งถ้าให้ผมเดา… จะมีคนเข้าลงทุนช่วงนั้นเยอะมาก เพราะบรรยากาศมันชวนให้โลภจริงๆ
เชื่อมั๊ยครับว่า ถ้าวัดโดย SET Index ถือมาจนถึง ธ.ค. 56 คืออีก 20 ปีถัดมาก็ “ยังไม่คืนทุน” ครับ
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายท่านที่ “ขยาด” จากวิกฤติต้มยำกุ้ง ยังคงมองว่าหุ้นไทย “ไม่ไปไหน
แต่ถ้าเราวัดด้วย SET Total Return ซึ่งร่วมเงินปันผลเข้าไป ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
ก็จะพบว่า “คืนทุนไปแล้ว” นะครับ โดยใช้ระยะเวลาไปทั้งสิ้น 16 ปี 11 เดือน
ซึ่งมันก็ไม่ได้ดีหรอกครับ เพราะหมายความว่า ถือรอมาตั้งเกือบ 17 ปีเต็ม โดยที่ไม่ได้อะไรเลย
แถมระหว่างทางนั้น ก็โดนเงินเฟ้อกินไปปีละ 3-4%

ผลลัพธ์สำหรับนักลงทุนระยะยาว

ตั้งแต่วิกฤติครั้งนี้เริ่มขึ้น หากมีนักลงทุนระยะยาว ที่ยังถือลงทุนต่อเนื่องมาจนถึง สิ้นปี 2556 (รวมลงทุนทั้งสิ้น 35 ปี)
SET Index จะยังคง “ต่ำกว่า” จุดที่เริ่มลงทุนถึง -22.8%  ซึ่งถ้าคิดเฉลี่ยเป็นผลขาดทุนต่อปี ก็จะอยู่ที่ -1.3% ต่อปี
แต่ถ้าพิจารณาเงินปันผลที่ได้รับเข้ามาประกอบด้วย ซึ่งจะวัดจาก SET Total Return Index นั้น
ใน 20 ปีที่ผ่านมานั้น ก็จะมีกำไรทั้งสิ้น เพียง 46.0% หรือคิดเป็น อัตราเฉลี่ยแทบทบต้นที่ 1.9% ต่อปี เท่านั้น
นั่นคือ ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 100,000 บาท เงินก้อนดังกล่าวจะเติบโตเป็น 146,000 บาทซึ่งเพิ่มขึ้นจริงครับ แต่ถ้าสมมติอัตราเงินเฟ้อสัก 3.5% ในช่วง 20 ปีที่ถือเนี่ย ราคาสินค้าจะแพงขึ้นเป็น 2 เท่า
สะท้อนว่าเงินเพิ่มขึ้นแต่ “อำนาจซื้อลดลง” เรียกว่ายังขาดทุนอยู่ดี!
จะเห็นว่า ถ้าซื้อที่ “มหาดอย” จริงๆ ด้วยเงินก้อนเดียว ถือยาวก็อาจจะไม่ได้ช่วยเท่าไรนะครับ ก็แค่ไม่ขาดทุน
แถมถ้ายังถือต่อไปอีกเรื่อยๆ ก็จะได้ผลตอบแทนเท่าๆ กับคนที่เพิ่งมาเริ่มลงทุน ณ สิ้นปี 56 เท่านั้นเอง
เพราะเราเสีย 20 ปีที่ผ่านมาไปแล้ว

ผลลัพธ์สำหรับผู้ที่ใช้วิธีการลงทุนแบบ DCA

ในบทความตอนที่แล้ว ผมเขียนทบทวนหลักการลงทุนแบบ DCA ไป เพื่อปรับพื้นความเข้าใจให้ถูกต้อง
ซึ่ง “ผมกลัวว่าท่านจะไม่กลับไปอ่าน” ดังนั้น ผมขอ Copy & Paste มาวางไว้ข้างล่างนี้อีกครั้งนะครับ
หลักการลงทุนแบบ DCA
วิธีการลงทุนเป็นประจำแบบ Dollar Cost Average (DCA) ถือเป็นวิธีการลงทุนแบบ “Simple & Stupid
ที่นักลงทุน “ยอมแพ้” ที่จะไม่จับจังหวะ ไม่ไปกะเก็งทิศทางของตลาด เพราะรู้ว่าตัวเองทำได้ไม่ดี
แต่หันมาใช้วิธีลงทุนเป็นประจำ (Regular Investment) เช่น ลงทุนด้วยเงินเท่าๆ กันทุกๆ งวด
โดยซื้อหุ้นเป็นไปตามจังหวะของรายได้ หรือ เงินเดือนที่รับเข้ามา เช่น “ทุกๆ เดือน
แล้วอาศัยว่า เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง ก็จะได้ซื้อหุ้นมากขึ้น (ตุนของถูกไว้มากหน่อย)
ขณะที่ เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น ก็ยังซื้ออยู่ดี เพราะได้เผื่อเวลาลงทุนไว้แล้ว ว่าการลงทุนนี้สำหรับระยะยาว
ดังนั้น แม้วันนี้จะแพง ก็ซื้อไปเถอะ เพื่อรักษาวินัย ในวันข้างหน้า หุ้นก็น่าจะมีโอกาสแพงขึ้นอยู่ดี
อ่านแล้วรู้สึกมั๊ยครับว่าเป็นวิธีที่ดูจะ “ปัญญาอ่อน” มาก
แต่ผมเองก็ยังเชื่อว่า DCA เป็นวิธีการลงทุนที่ Practical ที่สุด ที่คนทั่วๆ ไปจะนำมาใช้ได้
คนทั่วไปในที่นี้คือ คนที่อยากได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ไม่เชียวชาญ (ลองแล้วก็ยังเฟล) แต่ไม่มีเวลา (ต้องทำงานอื่นๆ)
หรือกระทั่งคนที่ไม่ชอบการลงทุน (ไม่ชอบศึกษา ลองอ่านแล้ว เรียนแล้วก็ยังไม่ get)
ดังนั้น DCA จึงไม่ใช่วิธีที่เน้น “สร้างผลตอบแทนสูงสุด” แต่เป็นวิธีที่ “สร้างวินัยสูงสุด” มากกว่า
ผลตอบแทนออกมาอาจจะดู “เห่ยๆ” บ้าง แต่ผมว่ามันก็ไม่เลวนะครับ
ซึ่งวิธี DCA มักจะถูก “วิจารณ์” มากที่สุดว่า ถ้าดันไป DCA ในตลาดขาลงเนี่ย ก็เท่ากับหายนะ
เพราะ DCA จะมีกำไรได้นั้น ราคาสุดท้าย (คือราคาที่เราจะเลิกลงทุน) จะต้องโงหัวขึ้นมาสูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยให้ได้
เช่นเคยครับ เราจะวัดผลตอบแทนการลงทุนวิธี DCA ด้วยค่า IRR หรือ Internal Rate of Return
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะเป็น “อัตราผลตอบแทนของเงินทุกๆ ก้อนที่เราใส่เข้าไป นำมาเฉลี่ยกันแบบอัตราทบต้น
คือเงินลงทุนบางก้อนอาจจะกำไรเยอะ บางก้อนกำไรน้อย บางก้อนขาดทุน
ค่า IRR ที่คำนวณได้ จะเป็นการนำเอาเอาผลลัพธ์ทั้งหมดนั้นมาเฉลี่ยกันเป็นค่าเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจครับ
ทั้งนี้ ผมกำหนดให้เราลงทุนเป็นประจำด้วยวิธี DCA ทุกๆ เดือน
โดยเลือกลงทุนในดัชนี SET Total Return เพื่อรวมเงินปันผลที่จะได้จากการลงทุนเข้าไปด้วย
และเริ่มลงทุนจากจุดที่ “ซวยที่สุด” คือ ที่ ดัชนีเริ่มต้น 1682.85 จุด  ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2536 เลย
เรามาดูกันครับ ว่าถ้ามาเริ่ม DCA เอา ณ จุดสูงสุดก่อนอภิมหาวิกฤติปี 2536-2541 นี้เลย ผลลัพธ์จะเป็นยังไง
จะ “ดูดี” เหมือนวิกฤติช่วงปี 2522 – 2525 รึเปล่า
1. ลงทุนแบบ DCA ต่อไปอีก 5 ปี แล้วหยุดลงทุน
ลงทุน DCA รอบนี้ ให้ผลลัพธ์น่ากลัวมากครับ
เพราะว่าผ่านไป 5 ปี วิกฤติเพิ่งจะจบ ราคาหุ้นยังแทบไม่ปรับขึ้นเลย… นั่นคือเรากำลัง “เฉลี่ยขาลง” จริงๆ
ถ้าลงทุน เดือนละ 10,000 บาท จะลงทุนทั้งสิ้น 60 งวด คิดเป็นต้นทุนรวม 600,000 บาท
มูลค่าเงินลงทุนสุดท้าย ณ สิ้น ปีที่ 5 จะเท่ากับ 312,116 บาท ขาดทุนไป = 287,884 บาท หรือ -48.0%
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนแบบ IRR = -28.8% ต่อปี
จะเห็นเลยนะครับ ว่าถ้าเราไม่ได้เตรียมเวลาไว้นานพอ… DCA ก็จะกลายเป็นวิธีที่ “ปัญญาอ่อน” ไปจริงๆ
ซึ่งผมยังได้ยินคำแนะนำที่ว่า “ลงทุนหุ้นแบบ DCA 5 ปีก็พอไหว” อยู่บ่อยๆ…
ถ้าเจอวิกฤติขนาดนี้เข้าไป… 5 ปีก็ไม่ไหวนะครับ
2. ลงทุนแบบ DCA ต่อไปอีก 10 ปี แล้วหยุดลงทุน
รอบนี้ดีหน่อยครับ เพราะหุ้นเริ่มพลิกกลับขึ้นมาพอสมควร
การลงทุนวิธี DCA เก็บหุ้นที่ต้นทุนต่ำๆ ช่วงปี 2540 – 2545 ไว้เยอะมาก
ถ้าลงทุน เดือนละ 10,000 บาท จะลงทุนทั้งสิ้น 120 งวด คิดเป็นต้นทุนรวม 1,200,000 บาท
มูลค่าเงินลงทุนสุดท้าย ณ สิ้น ปีที่ 10 จะเท่ากับ 2,139,124 บาท กำไร = 939,124 บาท หรือ 78.3%
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนแบบ IRR = 10.6% ต่อปี
3. ลงทุนแบบ DCA ต่อไปอีก 15 ปี แล้วหยุดลงทุน
รอบนี้อภิมหาซวยครับ… ผมไม่รู้ว่าในความเป็นจริงจะมีใครเจอมั๊ย
เพราะดันเป็นรอบที่เริ่มลงทุน ณ จุดสูงสุดปี 36 แล้วมาหยุดลงทุน ณ จุดต่ำสุดตอนวิกฤติ Hamburger ปี 51 พอดี
ถ้าลงทุน เดือนละ 10,000 บาท จะลงทุนทั้งสิ้น 180 งวด คิดเป็นต้นทุนรวม 1,800,000 บาท
มูลค่าเงินลงทุนสุดท้าย ณ สิ้น ปีที่ 15 จะเท่ากับ 1,961,769บาท กำไร = 161,769 บาท หรือ 9.0%
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนแบบ IRR = 1.1% ต่อปี
จริงๆ แล้วในเคสนี้ ถ้ายืดหยุ่นระยะเวลาหยุดลงทุนไปได้อีกซัก 1-2 ปี
ผลตอบแทนจะดีขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ
สมมติว่าหยุดใส่เงินลงทุนเพิ่ม แล้วถือรอไปจนถึงสิ้นปี 52 พอร์ตจะโตเป็น 3.36 ล้านบาท
ถ้ารอไปจนถึงสิ้นปี 53 พอร์ตจะโตเป็น 4.97 ล้านบาท
แน่นอนครับว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะขึ้นนิหน่า… ผมแค่บอกว่า “ถ้ายืดหยุ่น” ได้
และการจะยืดหยุ่นได้มั๊ยเนี่ย… มันขึ้นอยู่กับการวางแผนการเงินด้านอื่นๆ ด้วย เช่น การวางแผนสภาพคล่อง + เงินสำรองเพราะการวางแผนการเงินนั้น… ไม่ได้มีแต่เรื่องลงทุนครับ
4. ลงทุนแบบ DCA ต่อไปอีก 20 ปี แล้วหยุดลงทุน
ถ้าลงทุน เดือนละ 10,000 บาท จะลงทุนทั้งสิ้น 240 งวด คิดเป็นต้นทุนรวม 2,400,000 บาท
มูลค่าเงินลงทุนสุดท้าย ณ สิ้น ปีที่ 20 จะเท่ากับ 8,000,169 บาท กำไร = 5,600,169 บาท หรือ 233.3%
คิดเป็นอัตราผลตอบแทนแบบ IRR = 10.3% ต่อปี
อันนี้ก็เข้าข่ายผลตอบแทนปกติของวิธี DCA
ซึ่งผมสามารถทำ Back-Testing มาถึงได้ไกลที่สุดแค่ 20 ปีครับ เพราะข้อมูลชนกับปัจจุบันแล้ว
ไว้ถ้าเวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ คงจะได้ลองมา Update ให้ดูต่อไปว่าถ้ายังลงทุนต่อเนื่องเนี่ย จะได้สักเท่าไร ?

บทสรุป

บทสรุปนี้ ผมเขียนเพิ่มจาก บทสรุป 10 ข้อในตอนที่แล้วนะครับ… แนะนำให้ กลับไปอ่าน นะครับ
  1. รอบที่แล้ว (2522-2525) ว่าเสี่ยงแล้ว รอบนี้นั้นเสี่ยงมากกว่า ผมจึงแนะนำว่า หากท่านใดจะวางแผน
    Worst Case Scenario” ก็อาจใช้สถานการณ์ช่วงต้มยำกุ้งนี้ไปเป็นต้นแบบได้ครับ 
  2. การลงทุนด้วยเงินก้อนเดียว (Lump-sum Investment) นั้น จุดเริ่มต้นของการลงทุนมีความสำคัญมาก
    อย่างในเคสนี้ ถ้าเริ่มต้นทุ่มเงินลงทุนไปในจุดที่เป็น “มหาดอย” ต่อให้ถือยาว 20 ปี ก็ยังไม่คุ้มค่าเลย
  3. วิธีลงทุนแบบ DCA แสดง ข้อบกพร่อง ออกมาชัดเจนในการลงทุนระยะสั้นๆ คือระยะ 5 ปี ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
    เนื่องจากวิกฤติรอบนี้กินเวลานานกว่าปกติมาก ราคาหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนแบบ DCA จึงให้ผลขาดทุน
    ส่วนตัวผมมองว่าความผิดพลาดหลักคือการที่เราลงทุนได้แค่ 5 ปี แต่ดันเลือกลงทุนหุ้น 100%
    หรือหากดึงดันจะลงทุนกันจริงๆ ก็อาจต้องเสี่ยงไปใช้วิธีอื่นๆ เช่น การกะเก็งตลาด (Market Timing)
    ผ่านการวิเคราะห์ทางเทคนิค และ/หรือ ใช้เครื่องมืออื่นๆ ที่ทำกำไรได้ในตลาดขาลง เช่น อนุพันธ์
    ซึ่งอาจจะให้ผลดี หรืออาจจะเป็นการ “หนีเสือปะไทแรนโนซอรัส”  คือแย่กว่าเดิมก็ได้
  4. ในระยะที่ยาวขึ้น DCA ก็ยังให้ผลที่ดี เช่นในระยะ 10 ปี 20 ปี
    ส่วนระยะ 15 ปี ที่ดันไปหยุดเอากลางวิกฤติถัดไปพอดีนั้น ทำให้เราเรียนรู้ได้อีกอย่างหนึ่ง คือบทสรุปข้อถัดไปครับ
  5. การลงทุนที่ดีนั้น ต้องมีการวางแผนการเงินร่วมด้วยเพราะแผนการเงินที่ดี จะช่วยให้เรามี “Flexibility” มากขึ้น หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
    เช่นในการลงทุน 15 ปี ซึ่งไปจบเอาตอนวิกฤติพอดี หากเรามีแผนการเงินที่ดี เราอาจสามารถถือรออีกหน่อย
    เพื่อให้ตลาดดีขึ้น โดยไม่กระทบ Lifestyle นัก เพราะได้เตรียมเงินสำรองส่วนอื่นไว้แล้ว
    หรือถ้ารอไม่ไหวจริงๆ  ด้วยความรู้ความเข้าใจจากการวางแผนกระแสเงินสดของตัวเอง
    เราก็ไม่จำเป็นต้องล้างพอร์ตออกมาทั้งหมด แต่ยอมขายเฉพาะส่วนที่จะต้องนำมาใช้จ่ายในระยะสั้นๆ เป็นต้น
ผมหวังว่าบทสรุป 5 ข้อนี้ รวมกับอีก 10 ข้อในบทความที่แล้ว น่าจะช่วยให้ทุกท่าน (รวมทั้งตัวผมเองด้วย)
ตระหนัก ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในหุ้นมากขึ้น เราจะได้หาวิธีรับมือกับมันได้
ซึ่งความเสี่ยงในการลงทุนนั้น ส่วนตัวผมว่ามีวิธีการรับมือกับมันอยู่ 2 วิธีใหญ่ๆ เท่านั้น นั่นคือ
  1. วิ่งหนีมัน
  2. บริหารจัดการมัน
ผมหวังว่าทุกๆ ท่านจะเลือกวิธีที่ 2 นะครับ เพราะ “การไม่เสี่ยงเลย… ก็คือความเสี่ยงเช่นกัน
แต่ถ้าจะเสี่ยงแล้ว เราก็จะเลือก Take เฉพาะ Calculated Risk คือเลือกรับความเสี่ยงที่เราประเมินได้ไว้ก่อน
เพราะถ้าเราประเมิน หรือวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว… Surprise ในการลงทุนจะน้อยลง
เราจะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างเป็นปกติสุขเพราะรู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้ มันเกิดขึ้นได้
มันเป็นเช่นนั้นเอง!

  3065  129

Responses (2)

  1. bobobo
    24 July 2014 at 11:53 · Reply
    เป็น 1คนที่ DCA 3ปีแล้วหยุดค่ะ บ้านปู ซื้อที่ดอย จบที่ก้นเหวพอดี
    คิดว่าการเลือกตัวที่จะ DCA เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกันค่ะ
    ถึงแม้หุ้นพื้นฐานดีแต่เมื่อถึงวงจรขาลงก็เจ็บใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน
    จากการทบทวนข้อบกพร่องของตัวเอง คิดว่าระบบนี้เหมาะกับ ETF ที่ผันผวนตามดัชนีมากกว่า
    ผิดถูกยังไง รบกวนแนะนำด้วยค่ะ
    • A
      24 July 2014 at 12:08 · Reply
      วิธีการลงทุนแบบ DCA เป็นการลงทุนโดยมีสมมติฐานสำคัญคือ
      ในระยะยาวราคาสินทรัพย์ที่เราเลือกลงทุน “ต้องปรับขึ้น”
      การลงทุนแบบนี้จึงเหมาะมากกับการลงทุนหุ้นเป็น “กลุ่ม”
      เช่น การลงทุนในกองทุนรวม จะเป็นกองทุนดัชนี (Index Fund) ที่เน้นเลียนแบบดัชนีตลาดหุ้น
      หรือเป็นกองทุนรวมหุ้นแบบ Active Fund ที่เลือกหุ้นตั้งแต่ 10 ตัวขึ้นไปมาลงทุนร่วมกันก็พอได้ครับ
      ตามปกติการลงทุนเป็นกลุ่มๆ แบบนี้ เมื่อถือได้ยาว บริษัทส่วนใหญ่มักมีกำไรเติบโตขึ้น
      ซึ่งราคาหุ้นก็จะเติบโตตามไป การลงทุนแบบ DCA ก็จะให้ผลที่ดี
      (ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.a-academy.net/blog/eps-vs-stockprice/)
      ETF ที่คุณ bobobo พูดถึง ก็เป็น Index Fund คือกองทุนที่เลียนแบบดัชนีประเภทหนึ่ง
      ก็สามารถใช้ได้เช่นกันครับ
      ส่วนการลงทุนแบบ DCA ในหุ้นรายตัว เพียงตัวเดียว หรือไม่กี่ตัวนั้น
      ถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เราจะทำแบบนั้นก็ต่อเมื่อมั่นใจในบริษัทนั้นมากจริงๆ
      ส่วนตัวผมยังแนะนำว่า ถ้าจะ DCA หุ้นรายตัว ต้องเลือกหุ้นอย่างดี แล้วมีหุ้นอย่างน้อย 4-5 ตัว
      แต่ละตัวไม่ควรอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพราะถ้าเจ๊งก็จะเจ๊งด้วยกันหมด
      ผมแนะนำตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของวิธีนี้ ลองเข้าไปศึกษาที่นี่นะครับ
      http://www.dekisugi.net/7thltg
      จะใช้วิธีการเลือกหุ้นเติบโต 7 หุ้น แล้วลงทุนเป็นประจำแบบ DCA
- See more at: http://www.a-academy.net/blog/set-crisis-2/#sthash.oDLF7GhV.IkyyEbOH.dpuf
cr:http://www.a-academy.net/blog/set-crisis-2/#sthash.oDLF7GhV.IkyyEbOH.dpbs