วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อผิดพลาดจากการใช้เครื่องมือทางเทคนิค

“สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” สำนวนไทยที่สอนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แม้ว่าจะเชี่ยวชาญขนาดไหน หากไม่ระมัดระวังอาจจะพลาดพลั้งได้ ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนระดับเทพ

หากพูดถึงการใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อตัดสินใจซื้อขายหุ้นแล้วเกิดความผิดพลาด เช่น เก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากระยะสั้นราคาหุ้นจะขึ้นกับอารมณ์ของนักลงทุนในช่วงนั้นๆ

ดังนั้น การเก็งกำไรบนหุ้นพื้นฐานดีจึงเป็นการจำกัดโอกาสของนักลงทุน ทำให้นักเก็งกำไรปิดโอกาสที่จะเก็งกำไรในหุ้นที่เทคนิคแนวโน้มดีมาก แต่ไม่ใช่หุ้นพื้นฐานดีหรือราคาอาจสูงมากกว่ามูลค่าที่แท้จริง

อีกทั้ง การเก็งกำไรบนหุ้นพื้นฐานดี ทำให้นักลงทุนมักจะไร้วินัยในการลงทุน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของนักเก็งกำไรยิ่งกว่าการได้กำไร ก็คือ การปกป้องเงินลงทุนของตัวเองและตัดขาดทุน โดยการตั้งจุดตัดขาดทุนตั้งแต่ก่อนจะเข้าซื้อหุ้น แต่นักเก็งกำไรบนหุ้นพื้นฐานดีมักจะไม่มีการตั้งจุดตัดขาดทุน เพราะคิดว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดีหรืออาจจะมีเงินปันผลด้วย ทำให้ราคาปรับลงมาเท่าไรก็ไม่ยอมขาย ตรงกันข้าม เมื่อเห็นราคาหุ้นปรับลดลง มักจะซื้อเฉลี่ยเพราะคิดว่าราคาหุ้นถูกและทำให้ต้นทุนต่ำ

การเก็งกำไรโดยไม่มีจุดตัดขาดทุน และตลาดเป็นขาลงแล้วยังซื้อเฉลี่ย มีแต่ขาดทุนกับขาดทุน

นอกจากนี้ การใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ซับซ้อนจนเกินไป ไม่เรียบง่ายพอที่จะสร้างเป็นระบบได้ก็เกิดความผิดพลาดได้ เช่น ใช้ Indicator ในการวิเคราะห์จำนวนมากพร้อมกับวิเคราะห์เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อีกหลายเส้น ประกอบกับการใช้ทฤษฎีคลื่น รวมทั้งดูรูปแบบแท่งเทียนและวอลุ่มเข้ามาประกอบด้วย

การทำแบบนี้เสมือนกับว่านักลงทุนมีความรู้ทางเทคนิคเยอะและน่าจะวิเคราะห์ได้ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทำให้เกิดความสับสนและมี Bias ในการตัดสินใจ

อีกทั้งการใช้เครื่องมือทางเทคนิคเก็งกำไรหุ้นหลายตัวจะไม่เป็นผลดี เพราะการเก็งกำไรควรจะต้องตั้งจุดตัดขาดทุน ดังนั้นการเก็งกำไรหุ้นเยอะจนเกินไป เมื่อเกิดสัญญาณต้องตัดขาดทุนหรือสัญญาณขายทำกำไรในหุ้นหลายตัวพร้อมกัน อาจจะทำได้ไม่ทันเวลา หรือไม่เห็นสัญญาณขายที่เกิดขึ้นในหุ้นบางตัว

อย่าลืมว่าการลงทุนแบบเก็งกำไรในหุ้นหลายตัว นักลงทุนดูแลพอร์ตได้ไม่ทั่วถึง อีกทั้งจะทำให้กำไรขาดทุนในการลงทุนแต่ละตัวหักล้างกันไป ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ

การเก็งกำไรในหุ้นหลายตัวแสดงว่านักลงทุนมองโอกาสทองไม่เป็น ไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนน่าลงทุน ที่สำคัญเก็งกำไรหุ้นหลายตัวแทบจะไม่มีจุดตัดขาดทุน
แตกต่างไปการใช้เครื่องมือทางเทคนิควิเคราะห์หุ้นเพียงตัวเดียว หรือไม่เกิน 2-3 ตัว หากผิดพลาดก็เพียงตัดขาดทุนในวงเงินจำกัดอย่างมีวินัย และหากราคาหุ้นเป็นไปตามที่วิเคราะห์จะทำให้ได้ผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วย

และแน่นอนเครื่องมือทางเทคนิคจะใช้ได้ดีกับหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น เช่น หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี นักลงทุนนิยมลงทุน ซึ่งหุ้นลักษณะนี้ถ้าใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วโอกาสเพี้ยนมีน้อย แต่ถ้าเป็นหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายต่ำๆ การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะใช้ได้ลำบาก

โดยทุกๆ เครื่องมือจะมีความเสี่ยง มีเปอร์เซ็นต์ความถูกต้องและความผิดพลาด เช่นเดียวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน เช่น มีข่าวลือเข้ามาในตลาด อาจจะทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นหรือปรับลงอย่างทันที สำหรับนักลงทุนที่ใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพื่อวิเคราะห์หุ้นและใช้เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อขาย คงต้องท่องให้ขึ้นใจว่าไม่มีเครื่องมือไหนที่วิเคราะห์หุ้นแล้วถูกต้องแม่นยำสมบูรณ์แบบจนไม่มีคำว่า “ผิดพลาด” และเกิดความล้มเหลวในการลงทุน

ดังนั้น นอกเหนือจากความผิดพลาดของเครื่องไม้ เครื่องมือแล้ว ความเสี่ยงของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักลงทุนมักจะละเลยและมักจะโทษเครื่องมือเสมอหากมีความผิดพลาด ก็คือ ผู้ที่นำเครื่องมือทางเทคนิคมาใช้ “ไม่เก่ง” แต่กลับเชื่อมั่นและหลงตัวเองว่า “เก่ง” แล้วก็นำไปใช้ในการลงทุน

พูดง่ายๆ ความเสี่ยงจากการลงทุนที่แก้ไม่ตก คือ การไม่มีวินัย และมีความโลภครอบงำ
- See more at: http://www.moneychannel.co.th/news_detail/3509/#sthash.vfjrtLOS.dpuf
เครดิต http://www.moneychannel.co.th/news_detail/3509/

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Ace Trader: FVS

Ace Trader: FVS: 1. การวัดผลการลงทุน คือ วัดกำไรที่มากที่สุดในเวลาอันสั้นที่สุด การลงทุนทางเทคนิค สามารถทำกำไรได้ 10% ต่อสัปดาห์ 2. วิธีที่จะเรียนวันนี้ ฝีม...

ตอนที่ 12 :เเชร์ความรู้จากการไปสัมนา คุณ ปิยะพงศ์ อินทรปาน

เดี๋ยววันนี้ผมจะเเชร์ไอเดียบางอย่างที่ได้จากการไปสัมนาเกี่ยวกับเรื่องการเทรดค่าเงินมื่อวันเสาร์ให้ฟังนะครับ
1.ธุรกิจทั่วไป ใช้เวลาคืนทุนประมาณ 3-4 ปีนี่ถือว่าว่าเก่งมาก .....
ถ้า เราเคยไปที่ เวเนเชียนฮ่องกง ซึ่งเป็นคาสิโนขนาดใหญ่มาก ลงทุนไปประมาณ 4billion (คิดเป็นเงินไทยประมาร 120,000 ล้านบาท) ---> กลับใมช้เวลาในการคืนทุนไม่ถึง 1ปี ถามต่อว่ารายได้มาจากไหน
คำตอบ = รายได้มาจากเเต้มต่อของเจ้ามือที่ได้มากจากผู้เล่นการพนันไงล่ะครับ
เเสดงว่าเรื่องราวของ เเต้มต่อ ---> Win-loss / Risk -Reward เราต้องศึกษาให้มาก
เเล้ว เราสามารถจะสร้างรายได้เเบบที่คาสิโนทำได้รึมั้ย ---> ได้ครับ ถ้าเรารู้จักหลักการของคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นดีพอ เเล้วมาเทรดในตลาดที่ถูกกฏหมาย อย่าง ตลาดอนุพันธ์ หรือตลาดค่าเงิน

2.มีการบริหารหน้าตักเเบบที่เรียกว่า
Martingale---> เเบบนี้พวกนักพนันใช้กัน : คือการบริหารหน้าตัก เเบบเมื่อเสียจะเพิ่มเดิมพัน เพิ่มสัญญาเข้าไปอีก การเทรดเเบบนี้จะทำให้เราเจ๊งได้ครับ
ฤAnti Martingale ---> เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องเทรดโดยที่มีการเพิ่มน้ำหนักหรือเพิ่ม จำนวนสัญญาต่อเมื่อกำไร ลดขนาดเมื่อขาดทุน

3.Ralph Vice ได้ทำการทดลองการเทรดกับนักศึกษาปริญญาเอก จำนวน 40 คน เเต่ละคนได้เงินจำนวน 1,000$ โดยเทรดเป้นจำนวน 100 ครั้ง โดยมีความน่าจะเป็นในการถูกที่ 60%( เหรียญถ่วงน้ำหนักด้านหัว) โดยเทรดเดอร์จะได้กำไรเท่ากับจำนวนที่เสี่ยง เช่นถ้าเสี่ยง 100$ ถ้าถูกได้ 100$ ผิดเสีย 100$
ผลลัพธ์คือ .........
เเค่ 2 คนเท่านั้นที่กำไร 38 คนขาดทุนหมด
-ทำไมระบบเทรดที่ทำเงินได้ถึง 60% จึงไม่สามารถทำให้เทรดเดอร์ประสบความสำเร็จได้ ????
หรือว่าระบบนั้นล้มเหลว ????
-จริงๆเเล้วระบบนั้นไม่ได้ล้มเหลว หากเเต่เป็นเทรดเดอร์ต่างหากที่ล้มเหลว
-ลองคิดดูว่า ถ้าเริ่มด้วยการเสีย 100$ --> เราคิดว่าเดี๋ยวก็ได้คืน ถ้าเสียอีกก็จะรีบเอาคืน ---> ถ้าเสียอีกทำไง ???
-สิ่งที่ทำให้ยากคือเรื่อง Human psychology
1.Trading is easy จริงๆเเล้วเรื่องการเทรดไม่ยาก มีระบบมากมายที่ล้วนเเต่ทำเงิน
2.Greed : ความโลภเเละความกลัวต่างห่ากที่ทำให้เราทำบางอย่างที่เเตกต่างไปจากที่ควรทำ
3.Trust Financial Advisor : บ่อยครั้งที่เราไปหลงเชื่อว่า ผู้เชี่ยวชาญจะต้องถูกเสมอ
4.Folllow The crowd : บ่อยครั้งที่เราทำตามกระเเสฝูงชนไป

Money Secret : นักพนัน Grorge Vs เทรดเดอร์ Tim
1.นัก พนัน Grorge----> เวลาได้จะเล่นน้อยลง เพราะกลัวว่าเงินที่ได้มานั้นจะหมดไป เเต่เวลาเสียจะโมโหเเละจะพนันด้วยจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น
2.เทรดเดอร์ Tim ----> เป็นเทรดเดอร์อาชีพ เวลา tim ได้กำไรจะ bet มากขึ้น เวลาเสียจะ bet น้อยลง (ตามหลัก Anti Martingale)

Parameter ที่เราต้องรู้คือ
1. Probability of winning
2. Reward to risk ratio
จาก 1 - 2 เราสามารถคำนวณค่าที่คาดหวังได้ ---> นำมาสู่การออกเเบบระบบเทรดที่เหมาะกับตัวเรา

เกมส์สำหรับการฝึกเทรด
1.Roulette---> ใช้ฝึกเรื่องการบริหารหน้าตัก นักพนันชั้นเซียนจะสามารถใช้ Money Management โกยกำไรจาก Roulette โดย้รูปแบบการบริหารหน้าตัก
2.Poker-----> ใช้ฝึกจิตวิทยาการลงทุน
ตอนนี้ในต่างประเทศเริ่มดึงนักพนันชั้นเซียน มาสุ่วงการเทรดเดอร์กันมากขึ้น ----> นี่คือเเนวโน้มใหม่ในวงการเทรดครับ
cr:http://www.settrade.com/blog/Tradetory/2011/12/05/1078

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แท่งเทียน+วอลุ่ม



แท่งเทียน+วอลุ่ม***********************
เปรียบเทียบ แท่งราคากับ volume
1.Weak แท่งสั้น volume น้อย
ถ้าแท่งราคาสั้นๆ ราคาเปิดกับราคาปิดใกล้กันมาก แท่งราคาจะสั้น
แท่งราคาที่สั้นๆ และปริมาณซื้อขาย น้อยๆ แสดงว่า ไม่มีกำลัง ไม่มีคนซื้อไม่มีคนขาย
สะท้อนว่า หุ้นไม่น่าสนใจ
2.Fake แท่งยาว volume น้อย
ราคาเปิด ราคาปิด สร้างแท่งราคายาวมาก แต่ volume นิดเดียว
แสดงว่า bit กับ offer แต่ละช่องน้อยมาก คีย์ ซื้อขาย ทีนึง กินช่องหลายช่อย
แสดงว่า โดยปกติ ไม่ค่อยมีใครทำอะไรแต่เกิดการซื้อขายที่ผิดปกติ ภาษา เทรดเดอร์ เรียก จุดพุเรียกแขก
สะท้อนว่า หุ้นไม่น่าสนใจ
3.Squat แท่งสั้น volume มาก
แท่งราคาสั้นๆ แต่ volume เยอะมาก เรียกว่า สะควอท (เจ้าเก็บของ) หรือ (เจ้าปล่อยของ)
แสดงว่า มีคนซื้อ หรือ มีคนขาย โดยที่มีการวางราคา สกัด ราคาไม่ให้ขยับ
เช่่น ถ้าหุ้นทั้งหมด มี 100,000 หุ้น เจ้ามีทั้งหมด 60,000
-เจ้าอยากขาย ราคานี้
วิธีทำคือ ขายทีละ 10,000 เอา 50,000 ไปวางที่ bit ช่อง 3 ช่อง 4 ช่อง 5
ลงยังไง ก็ ไม่ผ่าน ตอนขาย ก็ หย่อนขาย offer 1 แล้วหาอะไร มา ซัพพอร์ด story ให้คนอยากได้ของ
แล้วค่อยๆ ปล่อยของ พอ ปล่อยของครบ ก็ดึง bit ออก เสร็จแล้ว ราคาก็ ลง
-ถ้าเจ้าอยากซื้อเพิ่ม ก็ เอา ไปวางที่ offer ไม่ให้ขึ้น เสร็จแล้ว ก็ เก็บหุ้น พอซื้อ เสร็จ ก็ ดึง offer ออก
หุ้นก็ ขึ้น คนก็ อยากได้ หุ้นก็ ขึ้น
อาการนี้เรียกว่า squat ส่วนใหญ่ จะชอบ squat ก่อน แล้ว ออกข่าวทีหลัง
ถ้าเจอแบบนี้ เจ้าเก็บ เราก็เก็บด้วย
4.Trend แท่งยาว Volume มาก
ส่วนใหญ่ จะเป็นรายย่อยซื้อ
*วันที่ Volume มากและแท่งราคายาว จะกลายเป็น แนวรับ แนวต้าน
*การที่ Volume มาก และราคาวิ่งขึ้นลงอย่างเร็ว แสดงว่า ใกล้จบแล้ว
*ถ้าราคาขึ้นทุกวัน แต่ volume หาย ให้ระวัง ระวังแรงเทขาย
*Volume divergent ---- ใกล้เปลี่ยนทิศ
*Volume peak > 10 เท่า ของวันก่อนหน้า จะจบภายในวันนั้น หรือ 2 วันถัดไป

cr: fb  ออยล์ นันทิยา วงษงาม

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิธีหาล็อกอินเข้าอีไฟแนนซ์ไทย โดยไม่ผ่านโบรก

วิธีหา user-name & password ของ e-finance thai สำหรับโบรกที่เราใช้งานอยู่

1. ให้เราเข้า e-finance จากเวบโบรกเกอร์ที่เราเปิดบัญชีไว้

2. พอหน้าต่าง e-finance เด้งขึ้นมา ให้กด ESC ทันที ก่อนที่มันจะโหลดหน้าเสร็จ

3. จากนั้น คลิกขวาที่ หน้าต่าง e-finance ที่โหลดไม่เสร็จ 
เลือก view source ดูที่บรรทัดที่ 13 และ 14 จะมี username และ Password ของเราอยู่ จดบันทึกไว้ และเอาไปล็อกอินที่หน้าเวบ อีไฟแนนซ์

cr ;http://www.stock2morrow.com/m/showthread.php?t=11360

รวบรวม Opportunity day ของ Q4'14 ทุกบริษัท

https://www.youtube.com/user/fuckyou28234/videos?flow=grid&view=0&sort=dd&live_view=500