วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฉวยโอกาสอย่างไร ในเวลาที่ “หุ้นแบงก์” ราคาถูก

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฉวยโอกาสอย่างไร ในเวลาที่ “หุ้นแบงก์” ราคาถูก

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
ที่มา:http://clubvi.com/2015/12/15/buffettonbank/
ช่วงนี้หุ้นธนาคารไทยราคาต่ำลงมามาก มาเรียนรู้บทเรียนจากการลงทุนในหุ้นธนาคารของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กันดีกว่านะครับ
ปกติแล้ว บัฟเฟตต์ไม่นิยมหุ้นธนาคารเอาเสียเลย (เช่นเดียวกับ ดร นิเวศน์ ของเมืองไทย แต่ที่เหมือนกันคือทั้งสองคนต่างก็มีหุ้นแบงก์) ปู่บอกว่า ในเวลาที่สินทรัพย์สูงกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น 20 เท่า* ซึ่งเป็นค่าปกติของเซคเตอร์แบงก์เวลานั้น หากธนาคารบริหารผิดพลาดเพียงเล็กน้อย จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงอย่างรุนแรง
(*การเอาสินทรัพย์เทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า asset to equity ratio เราสามารถคิดเองได้ง่ายๆ เพียงเปิดใน settrade. com แล้วเอามาหารกัน ถ้าค่านี้สูง อาจแปลความ (อย่างหยาบๆ) ได้ว่าบริษัทนี้กู้เงินมามาก โดยปกติแล้ว ธุรกิจอื่นๆ มักดูค่า “หนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” หรือ debt to equity เป็นหลัก แต่เซคเตอร์แบงก์ d/e จะสูงมากด้วยธรรมชาติของธุรกิจ จึงต้องดูค่า a/e ประกอบด้วย)
ทั้งนี้ ความผิดพลาดส่วนใหญ่ของธุรกิจธนาคาร มักเกิดจากการที่ผู้บริหารของแบงก์ต่างๆ ชอบปล่อยกู้ตามๆ กัน แบงก์อื่นปล่อย เราก็ต้องปล่อยบ้าง ไม่ว่ามันจะงี่เง่าและไม่สมควรขนาดไหน พฤติกรรมเหมือนกับหนูเลมมิ่งที่แห่กันไปโดดน้ำตายยังไงยังงั้น (ลองนึกถึงที่ธนาคารใหญ่ๆ ของไทยปล่อยกู้ให้ SSI จะเห็นได้ว่าเหมือนกันมากๆ)
เนื่องจากเรื่องของการบริหารมีความสำคัญยิ่ง ปู่จึงไม่เคยสนใจซื้อหุ้นธนาคารที่ “บริหารไม่ดี” แต่ “ราคาถูก” โดยจะซื้อเฉพาะธนาคารที่ “บริหารดี” ใน “ราคายุติธรรม” ​เท่านั้น
นี่คือเหตุผลของการเข้าซื้อหุ้น เวลส์ ฟาร์โก้ ธนาคารยักษ์ใหญ่ ซึ่งมีผู้บริหารที่ยอดเยี่ยม โดยพวกเขายึดมั่นอยู่กับสิ่งที่รู้ และไม่ทำตามแบงก์อื่น
12249651_1057991477586212_3387239749019485759_n.jpg
เบิร์คเชียร์ซื้อหุ้น เวลส์ ฟาร์โก้ ครั้งแรกในปี 1989 แต่แล้ว พอถึงปี 1990 ราคาหุ้นกลับร่วงลงถึง 50% ในเวลาไม่กี่เดือน
ปู่เล่าว่า ตอนนั้น ธนาคารดังๆ ต่างขาดทุนกันเป็นทิวแถว จากการปล่อยกู้โง่ๆ (ปู่ใช้คำว่า foolish) โดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่กลายเป็นหนี้เสียมโหฬาร ส่งผลให้ผู้คนขาดความเชื่อมั่น และมองธุรกิจแบงก์ทั้งหมดเป็นลบ จึงพากันขายหุ้นทิ้งแล้วหนีไปหาเซคเตอร์อื่น
แต่สำหรับปู่ นอกจากจะไม่ “ใจเสีย” แล้ว ยังซื้อหุ้นเพิ่มเยอะมาก โดยราคาที่เบิร์คเชียร์เก็บหุ้นเวลส์ ฟาร์โก้ ในปี 1990 อยู่ที่ p/e เพียง “5 เท่า” เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ และเพียง “3 เท่า” เมื่อเทียบกับกำไรก่อนหักภาษี เรียกได้ว่า ถูกจนไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
รวมๆ แล้ว ปู่ใช้เงินไป 290 ล้านเหรียญ ได้หุ้นเวลส์ ฟาร์โก้ ประมาณ 10% โดยขณะนั้น แบงก์ชื่อดังแห่งนี้มีสินทรัพย์รวมถึง 56,000 ล้านเหรียญ และทำกำไรได้สูงกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น 20%
ปู่บอกว่า หากไปซื้อหุ้นธนาคารเล็กๆ ที่ทำผลงานได้ใกล้เคียงกัน แต่มีสินทรัพย์น้อยกว่าสิบเท่า แกอาจจะได้หุ้นทั้ง 100% แต่ต้องจ่ายแพงกว่านี้มาก และแบงก์พวกนั้นก็ไม่มีผู้บริหารเก่งๆ เหมือนของเวลส์ฟาร์โก้ด้วย
เพื่อประยุกต์กับสถานการณ์ที่หุ้นแบงก์ไทยราคาถูกอยู่เวลานี้ ผมขอสรุปบทเรียนจากปู่เป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
หนึ่ง) สำหรับธุรกิจธนาคาร ผลประกอบการย่อมขึ้นอยู่กับการปล่อยกู้ของผู้บริหารเป็นสำคัญ จึงต้องเลือกแบงก์ที่ผู้บริหารเก่งมากๆ ดูประวัติการปล่อยกู้ว่าเขาเคยปล่อยกู้แบบงี่เง่าหรือเปล่า
โดยเฉพาะในเวลาที่เศรษฐกิจแย่แบบเมืองไทยเวลานี้ ความสามารถของผู้บริหารคือจุดชี้เป็นชี้ตายเลยทีเดียว
สอง) ถ้าได้ “ของถูก” ก็ดี
ปู่ซื้อเวลส์ ฟาร์โก้ ที่ p/e “5 เท่า” ลองดูสิว่าของเราที่เล็งไว้เป็นอย่างไร (ตอนนี้หลายๆ แบงก์หลักในไทย p/e แค่ 6-8 เท่า แล้ว)
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเน้นแต่ของถูกแล้วจะดี ต้องยึดข้อแรกเป็นหลักเอาไว้ก่อน
สาม) ธุรกิจธนาคารมีความเสี่ยงอยู่เสมอ เราต้องเอาอัตราส่วนทางการเงินมาดู และวิเคราะห์ความเสี่ยงให้เป็น ดูว่าธนาคารทำกำไรปกติได้เท่าไร ปล่อยกู้อยู่ประมาณไหน และหากเกิดความเสียหายขึ้นมา จะส่งผลสะเทือนแค่ไหน โดยให้มองไปถึง worst-case scenario หาก worst-case ยังรับไหว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว  
ทั้งสามข้อนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทว่าถ้าทำได้ การลงทุนในหุ้นแบงก์ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไปครับ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

9 เหตุผล ทำไมต้องอ่านข่าวสารการลงทุน

9 เหตุผล ทำไมต้องอ่านข่าวสารการลงทุน!!

เพราะการอ่านข่าวหุ้นที่ดี ต้องรู้จักวิเคราะห์แยกแยะข้อเท็จ – จริง และมองให้เห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่...  ลองมาดูเหตุผลทั้ง 9 กันค่ะ ^^

1. การอ่านข่าว ช่วยตอบข้อข้องใจหลายอย่างที่เราสงสัยเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งเพื่อน หรือคนที่ให้หุ้นเรามานั้นตอบไม่ได้

2. การอ่านข่าว เป็นตัวแปรสำคัญ เพราะมันสามารถพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร หรือแม้กระทั่งพลิกกำไร เป็นขาดทุนได้เช่นกัน

3. การอ่านข่าว ทำให้เราเห็นถึงโอกาสการเติบโตของบริษัท และความเชื่อที่ว่า...เอฟเฟคของข่าวนั้นรวมอยู่ในราคาหุ้นอยู่แล้วนั้นไม่เป็นความจริง เพราะถ้าอย่างนั้นแล้ว คงจะไม่มีหุ้น 10 เด้ง!!

4. การอ่านข่าว เป็นการใช้เวลาที่ดีที่สุดแบบหนึ่งในการค้นหาหุ้นดีงามมาประดับพอร์ตของเรา

5. การอ่านข่าว เปลี่ยนชีวิตได้ เพราะอย่างน้อยเราจะได้รู้คร่าวๆว่าอะไรควรลงทุน อะไรควรหนี!!  มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อย ที่พอร์ตโตขึ้นอย่างสวยงาม หลังจากได้ติดตามข่าวบางบริษัทฯอย่างใกล้ชิด!

6. การอ่านข่าว ทำให้เราได้รู้โอกาสทองมากกว่าคนขี้เกียจ และที่สำคัญ..โอกาสทองนี้ไม่มีใครแย่งเอาไปได้ (รู้ก่อน ซื้อก่อน ได้หุ้นถูกกว่าเพื่อน.. ^^)

7. การอ่านข่าว เป็นกิจกรรมยามว่างที่คุ้มค่าที่สุดแบบหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อมันทำให้เราเจอหุ้นในดวงใจ และทำให้เงินในกระเป๋าเราเพิ่มขึ้น

8. การอ่านข่าว ทำให้เรามีความรู้กว้างไกล มั่นใจมากขึ้นเวลาเคาะซื้อหุ้นแต่ละครั้ง 

9. การอ่านข่าว ทำให้เราเป็นนักลงทุนที่สมบูรณ์ขึ้น....  (ข้อสุดท้ายนี่ใช่เลย)

**ปล. เคยมีคนบอกกับ Admin ว่าเมื่อเราลงทุนมาในระดับนึงแล้ว เราจะพบว่ากราฟเทคนิคนั้นตอบโจทย์ของการลงทุนได้แค่ระดับนึงเท่านั้น เพราะมันเป็นแค่เกณฑ์ซื้อขาย แต่สิ่งที่เค้าต้องค้นหาให้มากขึ้น ก็คือ โอกาสในการลงทุนค่ะ ^^. Credit fb efin

ผลตอบแทนย้อนหลัง บอกอนาคตจริงหรือ (LTF)

https://bearinvestor.wordpress.com/2015/12/04/290/