วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 ตุลาคม 56 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หุ้นน่ากลัว
การที่ลงทุนในตลาดหุ้นมานานมากและได้เห็นเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้บริหารจำนวนมากในตลาดทำให้ผมพบความ “ไม่โปร่งใส” ในการบริหารงานในบริษัทจำนวนมาก บางเรื่องก็เป็น “ความจำเป็น” ทางธุรกิจ บางเรื่องก็เป็นการกระทำของผู้บริหารที่เอาเปรียบหรือโกงบริษัท บริษัทที่มีอาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้มักจะมีลักษณะหรือโครงสร้างของการทำธุรกิจที่ “เอื้ออำนวย” ให้เกิดการโกงได้ง่าย การโกงนั้น บางทีก็ทำให้บริษัทถึงกับล้มละลาย แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ทำให้ผลประกอบการไม่ดีหรือลุ่ม ๆ ดอน ๆ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การลงทุนในหุ้นเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ “น่ากลัว” และต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และถ้าหุ้นไม่ถูกจริงหรือมีประเด็นที่น่าสนใจจริง ๆ แล้ว ผมก็จะไม่ลงทุน และต่อไปนี้คือบางส่วนของหุ้นที่ผมคิดว่า “น่ากลัว”
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นของบริษัทที่รับงานจากหน่วยงานของรัฐเช่น งานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เหตุผลก็เพราะว่างานเหล่านี้มักจะต้องมี “รายจ่ายพิเศษ” ที่เราคาดการณ์ไม่ได้ รายจ่ายนี้คือรายจ่ายที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อให้ “ได้งานและเพื่อที่จะสามารถส่งมอบงานอย่างไม่ติดขัด” จริงอยู่ บริษัทมักจะรวมค่าใช้จ่ายนี้ไว้แล้วเวลาเสนอราคา แต่การเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่กำลังทำงานก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้บริษัทขาดทุนได้ นอกจากนั้น การที่บริษัทมีรายจ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายออกไปให้คนอื่นโดย “ไม่มีใบเสร็จ” อยู่แล้ว การที่บริษัทจะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้กับผู้บริหารหรือคนที่ทำเรื่องจ่ายจึงเป็นเรื่องง่ายและตรวจสอบไม่ได้ ผลก็คือ กำไรของบริษัทอาจจะไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่ารายจ่ายพิเศษจะมีมากน้อยแค่ไหน และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหลาย ๆ บริษัทที่มียอดขายมากมายแต่กลับไม่มีกำไรอยู่บ่อย ๆ
หุ้นกลุ่มที่สองที่ “น่ากลัว” คือบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านดีลเลอร์รายใหญ่ ๆ หรือตัวแทนที่ผู้บริหารเป็นเจ้าของ ประเด็นก็คือ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น มักมียอดขายที่สูงมากแต่มีมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำ หากผู้บริหารต้องการทำกำไรให้ตนเองสูงสุด เขาก็สามารถลดราคาขายให้กับดีลเลอร์ที่เป็นบริษัทส่วนตัว อาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยแต่เขาก็จะได้เงินมาก และนั่นก็ทำให้บริษัทเสียหายและกำไรน้อยลงหรือไม่ได้กำไรเลย ดังนั้น การลงทุนในหุ้นแบบนี้ นักลงทุนจึงคาดผลประกอบการได้ยากและมีโอกาสเสียหายหนักถ้าเจ้าของหรือผู้บริหารไม่โปร่งใส
หุ้นกลุ่มที่สามที่ผมรู้สึกไม่สบายใจและกลัวว่าผู้บริหารอาจจะไม่โปร่งใสก็คือ บริษัทที่ซื้อกิจการหรือทรัพย์สินขนาดใหญ่จากบริษัทหรือคนที่ “ตรวจสอบไม่ได้” หรือเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือพอ ประเด็นก็คือ ราคาที่จ่ายไปนั้นอาจจะสูงเกินไปมาก หรือกิจการมีคุณสมบัติที่แย่หรือกำลังจะย่ำแย่ลง แต่เหตุผลที่ซื้อในราคาแพงนั้น อาจจะเป็นเพราะซื้อแล้วมี “เงินทอน” ให้กับผู้บริหารจากคนที่ขายซึ่งตรวจสอบไม่ได้เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชนหรือเป็นบุคคลธรรมดา ในกรณีแบบนี้ ในที่สุดแล้ว บริษัทก็จะเสียหายเนื่องจากกิจการหรือทรัพย์สินที่ซื้อมาไม่สร้างผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับเงินที่บริษัทจ่ายไป
หุ้นกลุ่มที่สี่ที่ผมรู้สึกกลัวตลอดเวลาถ้าต้องถือหุ้นไว้ก็คือ หุ้นของบริษัทที่มีลูกหนี้มากเมื่อเทียบกับยอดขายหรือขนาดทรัพย์สินหรือขนาดของเงินทุนของบริษัท โดยเฉพาะถ้าลูกหนี้นั้นไม่ได้เป็นบริษัทหรือกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่มีเรทติ้งที่ดีมาก เหตุผลก็คือ ลูกหนี้นั้นอาจจะเบี้ยวหนี้หรือกลายเป็นหนี้เสียและทำให้บริษัทเสียหายหนัก บางครั้งอาจจะล้มละลายได้ การที่ลูกหนี้กลายเป็นหนี้เสียนั้นก็อาจจะมีได้หลายสาเหตุซึ่งรวมถึงภาวะทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงอย่างหนัก หรือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้บางรายที่เป็นลูกค้ารายใหญ่มาก หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เป็นลูกหนี้ที่เป็นกิจการของผู้บริหารที่ตั้งขึ้นเพื่อที่จะ “โกงบริษัท” ตั้งแต่แรกก็เป็นไปได้
หุ้นกลุ่มที่ห้าที่ไม่ใช่เรื่องของการโกง แต่เป็นบริษัทที่มีหนี้มากในขณะที่กิจการมีความไม่แน่นอนของผลประกอบการสูงเนื่องจากเป็นกิจการที่ขายสินค้าที่เป็นวัฏจักรหรือสินค้าที่มีความเป็นโภคภัณฑ์สูง ประเด็นก็คือ ในยามที่เกิดความยากลำบากขึ้น บริษัทอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ซึ่งทำให้บริษัทมีปัญหาทางการเงินหนัก บางทีอาจจะถึงกับล้มละลายได้ หรือในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาก ผลกำไรของบริษัทก็อาจจะถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้
หุ้นกลุ่มที่หกที่บ่อยครั้งคนในวงการนักเล่นหุ้นชอบมากเพราะเป็นหุ้นกลุ่มที่อาจจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นหวือหวา แต่สำหรับผมที่เน้นการลงทุนในพื้นฐานและเป็นการลงทุนระยะยาวแล้ว กลับเป็นหุ้นที่น่ากลัว เนื่องจากผมไม่ใคร่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดี หลายครั้งผมรู้สึกด้วยว่ามันเป็น “เกมปั่นหุ้น” ที่อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้มาก และทำให้คนที่รู้ขายทำกำไรไปก่อน แล้วทิ้งให้คนที่มาทีหลังหรือคนไม่รู้รับความเสี่ยงไป และนี่ก็คือหุ้นของบริษัทที่มี “วิศวกรรมการเงิน” หรือการ “ปรับโครงสร้าง” ใหญ่ ๆ ของบริษัทตลอดเวลา โดยที่ผลิตภัณฑ์หรือการดำเนินการหลักของบริษัทนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนอะไรที่สำคัญและก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเลิศอะไรนัก
บริษัทที่น่ากลัวในกลุ่มที่หกก็เช่น บริษัทที่เปลี่ยนแปลงหรือมีธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีนัยสำคัญสูงอยู่เรื่อย ๆ บางทีนอกจากธุรกิจใหม่แล้ว ชื่อของบริษัทก็ถูกเปลี่ยนไปตามแนวของธุรกิจใหม่จนเราจำไม่ได้ว่าเดิมบริษัทชื่ออะไร ความน่ากลัวอยู่ที่ว่า ธุรกิจใหม่นั้นอาจจะไม่ดีและทำให้ผลประกอบการเลวลงเนื่องจากบริษัทอาจจะไม่มีความสามารถหรือประสบการณ์พอในการทำงาน เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าของเดิมบริษัทก็ทำไม่ได้ดีอยู่แล้ว ของใหม่จะทำได้เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร!
นอกจากเรื่องของการเปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อย ๆ แล้ว บริษัทที่ “ใช้เครื่องมือทางการเงิน” อย่างพร่ำเพรื่อ โดยที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็เป็นสิ่งที่ผมมักจะกลัว ตัวอย่างเช่น การแตกพาร์จาก 1 บาทเหลือ 25 สตางค์ เพื่อ “เพิ่มสภาพคล่อง” ของหุ้น ทั้งที่ราคาหุ้นก็ไม่ถึง 10 บาทอยู่แล้ว หรือการออกวอแรนต์แจกให้ผู้ถือหุ้นมากมายหลาย ๆ ชุดต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ จนวอแรนต์นั้นมีสัดส่วนอาจจะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งบริษัท แบบนี้ผมก็ถือว่าไม่สมเหตุผล ประเด็นก็คือ ผมคิดว่าผู้บริหารไปเน้นการ “บริหารหุ้น” มากกว่าการบริหารกิจการ และดังนั้น การเข้าไปซื้อหุ้นที่มีคนบริหารนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะเราอาจจะเข้าไปซื้อที่ราคาแพงเกินไปมากได้
หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่ “กินก่อน จ่ายทีหลัง” ตัวอย่างเช่น สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่กิจการธุรกิจ สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการแบบเงินผ่อน บริษัทประกันภัย เป็นต้น บริษัทเหล่านี้นั้น เมื่อขายบริการหรือผลิตภัณฑ์ของตน พวกเขาก็จะกำไรทันทีในระยะสั้น แต่ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับลูกค้าหรือเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริษัทจะได้รับเงินคืนหรือไม่ แต่โดยธรรมชาติของคนก็คือ เราอยาก “กินก่อน” อนาคตไม่แน่นอนอย่าไปคิดมาก เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าลูกค้าเสีย เจ้านายก็อาจลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนทำ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ธุรกิจแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเราอาจจะคิดว่าบริษัทกำลังโต กำลังดีขึ้น ทั้งที่อาจจะไม่จริงเพราะในที่สุด บริษัทอาจจะต้อง “จ่ายหนักทีหลัง” นั่นก็คือ บริษัทเสียหายอย่างหนัก
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุ้นที่น่ากลัวสำหรับผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงทุนไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราจะต้อง Discount หรือลดมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นลง นั่นก็คือ หุ้นจะต้องมีราคาต่ำพอที่จะคุ้มสำหรับการลงทุน
credit :http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=56681
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นของบริษัทที่รับงานจากหน่วยงานของรัฐเช่น งานรับเหมาก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เหตุผลก็เพราะว่างานเหล่านี้มักจะต้องมี “รายจ่ายพิเศษ” ที่เราคาดการณ์ไม่ได้ รายจ่ายนี้คือรายจ่ายที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อให้ “ได้งานและเพื่อที่จะสามารถส่งมอบงานอย่างไม่ติดขัด” จริงอยู่ บริษัทมักจะรวมค่าใช้จ่ายนี้ไว้แล้วเวลาเสนอราคา แต่การเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่กำลังทำงานก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้บริษัทขาดทุนได้ นอกจากนั้น การที่บริษัทมีรายจ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายออกไปให้คนอื่นโดย “ไม่มีใบเสร็จ” อยู่แล้ว การที่บริษัทจะจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้กับผู้บริหารหรือคนที่ทำเรื่องจ่ายจึงเป็นเรื่องง่ายและตรวจสอบไม่ได้ ผลก็คือ กำไรของบริษัทอาจจะไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับว่ารายจ่ายพิเศษจะมีมากน้อยแค่ไหน และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหลาย ๆ บริษัทที่มียอดขายมากมายแต่กลับไม่มีกำไรอยู่บ่อย ๆ
หุ้นกลุ่มที่สองที่ “น่ากลัว” คือบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านดีลเลอร์รายใหญ่ ๆ หรือตัวแทนที่ผู้บริหารเป็นเจ้าของ ประเด็นก็คือ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้น มักมียอดขายที่สูงมากแต่มีมาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายต่ำ หากผู้บริหารต้องการทำกำไรให้ตนเองสูงสุด เขาก็สามารถลดราคาขายให้กับดีลเลอร์ที่เป็นบริษัทส่วนตัว อาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยแต่เขาก็จะได้เงินมาก และนั่นก็ทำให้บริษัทเสียหายและกำไรน้อยลงหรือไม่ได้กำไรเลย ดังนั้น การลงทุนในหุ้นแบบนี้ นักลงทุนจึงคาดผลประกอบการได้ยากและมีโอกาสเสียหายหนักถ้าเจ้าของหรือผู้บริหารไม่โปร่งใส
หุ้นกลุ่มที่สามที่ผมรู้สึกไม่สบายใจและกลัวว่าผู้บริหารอาจจะไม่โปร่งใสก็คือ บริษัทที่ซื้อกิจการหรือทรัพย์สินขนาดใหญ่จากบริษัทหรือคนที่ “ตรวจสอบไม่ได้” หรือเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือพอ ประเด็นก็คือ ราคาที่จ่ายไปนั้นอาจจะสูงเกินไปมาก หรือกิจการมีคุณสมบัติที่แย่หรือกำลังจะย่ำแย่ลง แต่เหตุผลที่ซื้อในราคาแพงนั้น อาจจะเป็นเพราะซื้อแล้วมี “เงินทอน” ให้กับผู้บริหารจากคนที่ขายซึ่งตรวจสอบไม่ได้เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชนหรือเป็นบุคคลธรรมดา ในกรณีแบบนี้ ในที่สุดแล้ว บริษัทก็จะเสียหายเนื่องจากกิจการหรือทรัพย์สินที่ซื้อมาไม่สร้างผลตอบแทนที่ดีคุ้มค่ากับเงินที่บริษัทจ่ายไป
หุ้นกลุ่มที่สี่ที่ผมรู้สึกกลัวตลอดเวลาถ้าต้องถือหุ้นไว้ก็คือ หุ้นของบริษัทที่มีลูกหนี้มากเมื่อเทียบกับยอดขายหรือขนาดทรัพย์สินหรือขนาดของเงินทุนของบริษัท โดยเฉพาะถ้าลูกหนี้นั้นไม่ได้เป็นบริษัทหรือกิจการที่มีขนาดใหญ่ที่มีเรทติ้งที่ดีมาก เหตุผลก็คือ ลูกหนี้นั้นอาจจะเบี้ยวหนี้หรือกลายเป็นหนี้เสียและทำให้บริษัทเสียหายหนัก บางครั้งอาจจะล้มละลายได้ การที่ลูกหนี้กลายเป็นหนี้เสียนั้นก็อาจจะมีได้หลายสาเหตุซึ่งรวมถึงภาวะทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงอย่างหนัก หรือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้บางรายที่เป็นลูกค้ารายใหญ่มาก หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เป็นลูกหนี้ที่เป็นกิจการของผู้บริหารที่ตั้งขึ้นเพื่อที่จะ “โกงบริษัท” ตั้งแต่แรกก็เป็นไปได้
หุ้นกลุ่มที่ห้าที่ไม่ใช่เรื่องของการโกง แต่เป็นบริษัทที่มีหนี้มากในขณะที่กิจการมีความไม่แน่นอนของผลประกอบการสูงเนื่องจากเป็นกิจการที่ขายสินค้าที่เป็นวัฏจักรหรือสินค้าที่มีความเป็นโภคภัณฑ์สูง ประเด็นก็คือ ในยามที่เกิดความยากลำบากขึ้น บริษัทอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ซึ่งทำให้บริษัทมีปัญหาทางการเงินหนัก บางทีอาจจะถึงกับล้มละลายได้ หรือในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นมาก ผลกำไรของบริษัทก็อาจจะถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้
หุ้นกลุ่มที่หกที่บ่อยครั้งคนในวงการนักเล่นหุ้นชอบมากเพราะเป็นหุ้นกลุ่มที่อาจจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นหวือหวา แต่สำหรับผมที่เน้นการลงทุนในพื้นฐานและเป็นการลงทุนระยะยาวแล้ว กลับเป็นหุ้นที่น่ากลัว เนื่องจากผมไม่ใคร่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดี หลายครั้งผมรู้สึกด้วยว่ามันเป็น “เกมปั่นหุ้น” ที่อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวได้มาก และทำให้คนที่รู้ขายทำกำไรไปก่อน แล้วทิ้งให้คนที่มาทีหลังหรือคนไม่รู้รับความเสี่ยงไป และนี่ก็คือหุ้นของบริษัทที่มี “วิศวกรรมการเงิน” หรือการ “ปรับโครงสร้าง” ใหญ่ ๆ ของบริษัทตลอดเวลา โดยที่ผลิตภัณฑ์หรือการดำเนินการหลักของบริษัทนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนอะไรที่สำคัญและก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเลิศอะไรนัก
บริษัทที่น่ากลัวในกลุ่มที่หกก็เช่น บริษัทที่เปลี่ยนแปลงหรือมีธุรกิจใหม่ ๆ ที่มีนัยสำคัญสูงอยู่เรื่อย ๆ บางทีนอกจากธุรกิจใหม่แล้ว ชื่อของบริษัทก็ถูกเปลี่ยนไปตามแนวของธุรกิจใหม่จนเราจำไม่ได้ว่าเดิมบริษัทชื่ออะไร ความน่ากลัวอยู่ที่ว่า ธุรกิจใหม่นั้นอาจจะไม่ดีและทำให้ผลประกอบการเลวลงเนื่องจากบริษัทอาจจะไม่มีความสามารถหรือประสบการณ์พอในการทำงาน เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าของเดิมบริษัทก็ทำไม่ได้ดีอยู่แล้ว ของใหม่จะทำได้เหนือกว่าคู่แข่งได้อย่างไร!
นอกจากเรื่องของการเปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อย ๆ แล้ว บริษัทที่ “ใช้เครื่องมือทางการเงิน” อย่างพร่ำเพรื่อ โดยที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็เป็นสิ่งที่ผมมักจะกลัว ตัวอย่างเช่น การแตกพาร์จาก 1 บาทเหลือ 25 สตางค์ เพื่อ “เพิ่มสภาพคล่อง” ของหุ้น ทั้งที่ราคาหุ้นก็ไม่ถึง 10 บาทอยู่แล้ว หรือการออกวอแรนต์แจกให้ผู้ถือหุ้นมากมายหลาย ๆ ชุดต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ จนวอแรนต์นั้นมีสัดส่วนอาจจะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งบริษัท แบบนี้ผมก็ถือว่าไม่สมเหตุผล ประเด็นก็คือ ผมคิดว่าผู้บริหารไปเน้นการ “บริหารหุ้น” มากกว่าการบริหารกิจการ และดังนั้น การเข้าไปซื้อหุ้นที่มีคนบริหารนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะเราอาจจะเข้าไปซื้อที่ราคาแพงเกินไปมากได้
หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือหุ้นที่ “กินก่อน จ่ายทีหลัง” ตัวอย่างเช่น สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้แก่กิจการธุรกิจ สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เพื่อซื้อสินค้าหรือบริการแบบเงินผ่อน บริษัทประกันภัย เป็นต้น บริษัทเหล่านี้นั้น เมื่อขายบริการหรือผลิตภัณฑ์ของตน พวกเขาก็จะกำไรทันทีในระยะสั้น แต่ต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับลูกค้าหรือเหตุการณ์ในอนาคตว่าบริษัทจะได้รับเงินคืนหรือไม่ แต่โดยธรรมชาติของคนก็คือ เราอยาก “กินก่อน” อนาคตไม่แน่นอนอย่าไปคิดมาก เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าลูกค้าเสีย เจ้านายก็อาจลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนทำ ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ธุรกิจแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะเราอาจจะคิดว่าบริษัทกำลังโต กำลังดีขึ้น ทั้งที่อาจจะไม่จริงเพราะในที่สุด บริษัทอาจจะต้อง “จ่ายหนักทีหลัง” นั่นก็คือ บริษัทเสียหายอย่างหนัก
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหุ้นที่น่ากลัวสำหรับผม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงทุนไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราจะต้อง Discount หรือลดมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นลง นั่นก็คือ หุ้นจะต้องมีราคาต่ำพอที่จะคุ้มสำหรับการลงทุน
credit :http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=56681
31-8-56 ช่วง The Investor พบกับ คุณ เคน โสรัตน์ วณิชวรากิจ
https://www.facebook.com/photo.php?v=539918702730788&set=vb.163798300342832&type=2&theater
สำหรับผม...นี่คือสุดยอดบทสัมภา ษณ์นักลงทุน ที่ผมชอบมากที่สุดระดับ TOP 3 ครับ...
พี่เคน โสรัตน์ วณิชวรากิจ...
พี่เคนเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่ า หรือวีไอ นั่นเอง...
แต่ที่ผมชอบคือ...แนวคิดและหลัก การการลงทุนของพี่เค้า สามารถนำมาปรับใช้ได้กับเทรดเดอ ร์สายเก็งกำไรแบบผมเองด้วย...
..เป็น 18 นาที ที่ควรค่าแก่การรับชมและรับฟัง. ..หลายๆครั้งครับ...
ขอแสดงความนับถือมากๆครับพี่ -/\-
credit: เพจ รู้ทันหุ้นยามบ่าย
wizard kid
สำหรับผม...นี่คือสุดยอดบทสัมภา
พี่เคน โสรัตน์ วณิชวรากิจ...
พี่เคนเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่
แต่ที่ผมชอบคือ...แนวคิดและหลัก
..เป็น 18 นาที ที่ควรค่าแก่การรับชมและรับฟัง.
ขอแสดงความนับถือมากๆครับพี่ -/\-
credit: เพจ รู้ทันหุ้นยามบ่าย
wizard kid
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556
"วิบูลย์ พึงประเสริฐ" เซียน VI ต้นทุนหุ้น BH 15 บาท
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 8 ตุลาคม 2556 01:00
"วิบูลย์ พึงประเสริฐ" เซียน VI ต้นทุนหุ้น BH 15 บาท
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
6
15
12 ปี บนโลกการลงทุนแนว VI “วิบูลย์ พึงประเสริฐ” เจ้าของพอร์ตหลักสิบล้าน โกยกำไรมาแล้วเฉลี่ยปีละ 30%จากนี้ไปขอ “โตพอเพียง” ปีละ 15%
“รวยหุ้น” แต่ไม่จำเป็นลาออกจากงานประจำ “บูลย์-วิบูลย์ พึงประเสริฐ” เจ้าของพอร์ตลงทุน “หลักสิบล้านบาท”บุรุษผู้โลดแล่นในตลาดหุ้นมา 16 ปี แต่เพิ่งหันมาเป็น “นักลงทุนเน้นคุณค่า” หรือ Value Investor(VI) ในช่วง 12 ปีหลัง คิดเช่นนั้น..
“ความแก่กล้าวิชาหุ้น VI”ทำให้ “วิบูลย์” เคยถูกทาบทามให้มานั่งเป็น “นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)” รุ่น 2 ต่อจาก “ไก่-ธันวา เลาหศิริวงศ์” แต่เขาส่ายหัวไม่รับตำแหน่ง เพราะมีงานประจำที่ต้องรับผิดชอบ
ปัจจุบัน “ชายวัย 44 ปี” นั่งทำงานอยู่ที่ “Nature Works Asia Pacific Ltd.” บริษัทร่วมทุนระหว่าง “พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (PTTGC) และพันธมิตรจากประเท ศ สหรัฐอเมริกา บริษัทนี้เป็นแห่งที่ 4 ที่เขาใช้ชีวิตมุนษย์เงินเดือน
ต้นปี 2540 ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง “วิบูลย์” ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 29 ปี และเพิ่งเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ประสานงานโครงการ บริษัท เชลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังเรียนจบปริญญาโท MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจควัก “ทุนตั้งต้น” เล่นหุ้นครั้งแรก 100,000 บาท ตามคำชักชวนของเพื่อนมาร์เก็ตติ้ง ณ บล.ธนสยาม 1 ในไฟแนนซ์ที่ปิดตัวไปในช่วงวิกฤติ“ต้มยำกุ้ง”
ต้นปี 2540 ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง “วิบูลย์” ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 29 ปี และเพิ่งเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ประสานงานโครงการ บริษัท เชลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังเรียนจบปริญญาโท MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจควัก “ทุนตั้งต้น” เล่นหุ้นครั้งแรก 100,000 บาท ตามคำชักชวนของเพื่อนมาร์เก็ตติ้ง ณ บล.ธนสยาม 1 ในไฟแนนซ์ที่ปิดตัวไปในช่วงวิกฤติ“ต้มยำกุ้ง”
เขาฉายเดี่ยว ทุ่มเงินทั้งก้อน “สอย” หุ้น ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพียงตัวเดียว ไม้แรกต้นทุน 100 บาท ผ่านไป 2 วัน ปล่อยออก 104 บาท ไม้สอง 106 บาท ผ่านไป 2 วัน ขายออก 110 บาท “ที่สุดแห่งความดีใจ” ทำให้ “บูลย์” ช้อนไม้ 3 ราคา 120 บาท โดยหารู้ไม่ว่า “หายนะทางเศรษฐกิจกำลังมาเยือน”
ซื้อหุ้น BBL ไม้สุดท้ายได้ไม่นาน ราคาหุ้น BBL และ SET INDEX “ดิ่งหนัก” เขาอดทนถือหุ้น BBL ต่อไป ด้วยความหวังว่า “กาลเวลาจะนำพาความร่ำรวยคืนมา” ผ่านมา 3 ปี ราคาหุ้น BBL ลดเหลือ 30 บาท “ขาดทุน” ทันที 70 เปอร์เซ็นต์ จากทุน “หนึ่งแสนบาท” เหลือเพียง 30,000 บาท
“วิบูลย์” หวนคืนตลาดหุ้นอีกครั้ง ด้วยเงินก้อนใหม่ 300,000 บาท คราวนี้มาแนว “นักลงทุนเน้นคุณค่า” หลังเพื่อนคนหนึ่งยื่นกระดาษซีร็อกซ์ “หนังสือ ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์” หรือ Buffettology ของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” มาให้ช่วยแปล
เขาใช้เวลาอ่านหนังสือการลงทุนของต่างประเทศไม่เกิน 4 เดือน ก่อนตัดสินใจคัด 3 หุ้นที่ดีที่สุดเข้าพอร์ต นั่นคือ หุ้น เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ,หุ้น ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และ หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)
ถือไม่นานเขาขายหุ้น 2 ตัวแรก เพื่อโยกเงินมาซื้อหุ้น PTTEP ตัวเดียวในราคา 110 บาท พาร์ 5 บาท เทียบเท่า 22 บาท พาร์ 1 บาท เพราะเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นจะทะยาน ผ่านมาแค่ 6 เดือน ราคาหุ้น PTTEP ขึ้นไป 220 บาท พาร์ 1 บาเขาตัดสินใจขายได้กำไร 1,000 เปอร์เซ็นต์ พลิกพอร์ตลงทุนจากเงินตั้งต้น “หลักแสน” สู่ “8 หลัก” ทันที (ก่อนกำไรหุ้น PTTEP เขาเติมเงินเข้าพอร์ตตลอด)
ถือไม่นานเขาขายหุ้น 2 ตัวแรก เพื่อโยกเงินมาซื้อหุ้น PTTEP ตัวเดียวในราคา 110 บาท พาร์ 5 บาท เทียบเท่า 22 บาท พาร์ 1 บาท เพราะเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ราคาหุ้นจะทะยาน ผ่านมาแค่ 6 เดือน ราคาหุ้น PTTEP ขึ้นไป 220 บาท พาร์ 1 บาเขาตัดสินใจขายได้กำไร 1,000 เปอร์เซ็นต์ พลิกพอร์ตลงทุนจากเงินตั้งต้น “หลักแสน” สู่ “8 หลัก” ทันที (ก่อนกำไรหุ้น PTTEP เขาเติมเงินเข้าพอร์ตตลอด)
“เซียนหุ้นวีไอ” ในฐานะนักเขียนประจำคอลัมน์ Value Way ของหนังสือพิมพ์ “กรุงเทพธุรกิจ BIZ Week” และเจ้าของหนังสือ “คัมภีร์ VI ลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า (เขียนร่วมกับ “มนตรี นิพิฐวิทยา) เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 5 ตัว อาทิเช่น หุ้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) หุ้น พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) หุ้น ซีพี ออลล์ (CPALL) หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) และหุ้น บ้านปู (BANPU)
ตั้งแต่ลงทุนแนว VI มา 12 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์บวกลบ ไม่เคยมีปีไหนที่ได้กำไรสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ คนที่สามารถโกยกำไรได้สูงขนาดนั้น คือ นักลงทุนที่เปิดบัญชีเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือบัญชีมาจิน (Margin Account) และนักลงทุนที่ลงทุนหุ้นน้อยตัว
“ผมไม่โลภจากนี้ขอให้พอร์ตโตปีละ 10-15 เปอร์เซ็นต์ เท่านี้ชีวิตมีสุขแล้ว”
เขา เล่าว่า หลังโกยกำไร 10 เท่า จากหุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เริ่มขยับไปลงทุนหุ้นหลายตัว ขอยกตัวอย่างเฉพาะ “ตัวไฮไลท์” ไล่มาตั้งแต่ หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL ต้นทุน 4 บาท ทั้งๆที่ตอนนั้นงบการเงินของบริษัทมีปัญหา เพราะขาดทุนจากซูเปอร์มาร์เก็ต เทสโก้ โลตัส เมืองจีน แต่เราเห็นว่า บริษัทกำลังจะตัดตัวปัญหาออกไปจากงบการเงิน ด้วยการขายให้เครือซีพี ฉะนั้นอนาคตน่าจะสวย
ถือหุ้น ซีพี ออลล์ ได้ 1 ปี ราคาเฉลี่ย 11-12 บาท คิดจากราคาพาร์เก่า 5 บาท ดันเกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2551 ราคาหุ้น ซีพี ออลล์ ลดลงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เหลือประมาณ 7 บาท หลังราคาทยอยขึ้นมาก่อนหน้านี้ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ช่วงนั้นบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน เพราะเขามีเงินสดในมือมากถึง 20,000 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้น ซีพี ออลล์ “หยุดไหล”
“ผมยังคงถือหุ้น ซีพี ออลล์ ต้นทุน 4 บาทเหมือนเดิม ตอนนี้ราคาขึ้นไปซื้อขาย 38 บาทแล้ว หากคิดจากราคาพาร์ใหม่ 1 บาท แต่ถ้าคิดจากราคาพาร์เก่า ราคาหุ้น ซีพี ออลล์ จะอยู่ที่ประมาณ 76 บาท”
ช้อนหุ้นอะไรต่อ? เขาหัวเราะหลังได้ยินคำถาม ช่วงเริ่มต้นในการลงทุนแนว VI มีโอกาสได้อ่านหนังสือจของ “ปีเตอร์ ลินช์” เขาสอนให้หาหุ้นที่เรามองเห็น วันหนึ่งไปเดินเทสโก้ โลตัส เห็นคนต่อคิวยาวยืด เพื่อจ่ายเงินค่าผ่อนสินค้าของ “อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์)” หรือ AEONTS
“ธุรกิจนี้ต้องดีมากแน่ๆ” ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวทันที
กลับถึงบ้านรีบดูราคาหุ้น AEONTS เปิดมาเจอราคา 250 บาท ขณะนั้นหุ้น AEONTS มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือค่า P/E ประมาณ 25 เท่า สูงกว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรของตลาด SET INDEX ที่อยู่เพียง 7 เท่า “ผมตัดใจไม่ซื้อ เพราะแพงเกินไป ณ เวลานั้นทำได้แค่รอเวลา”
ผ่านไป 3 เดือน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมากำหนดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตเหลือ 18 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ส่งผลให้ราคาหุ้น AEONTS ไหลลงเรื่อยๆจนเหลือ 150 บาท ใช้เวลาเพียง 2-3 สัปดาห์เท่านั้น ทุกคนคิดว่า บริษัทต้องมีผลประกอบการลดลงแน่ๆ แต่หลังจากเราเข้าไปดูรายละเอียดพบว่า ตอนนั้นบริษัทไม่ได้ทำบัตรเครดิตมีเพียงบัตรเงินผ่อนเท่านั้น
“ผมรีบเข้าไปซื้อหุ้น AEONTS ตอนราคา 120 บาท ครอบครองไม่นานราคาหุ้นตกเหลือ 80 บาท แต่ผมไม่ขาย เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี อดทนถือต่อ 6 เดือน บริษัทประกาศงบการเงินผลปรากฎว่า มีอัตราเติบโตขึ้น คราวนี้ราคาหุ้นวิ่งกลับมาอยู่ 250 บาท ใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ผมไม่รีรอรีบปล่อยของทันที”
“นักลงทุนวีไอ” เล่าต่อว่า หุ้นตัวต่อไปที่สร้างผลตอบแทนอย่างงาม คือ หุ้น พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) ปลายปี 2554 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ โครงการของบริษัทกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ราคาหุ้น PS จากที่เคยขึ้นไปยืน “จุดสูงสุด” 25 บาท ลดลงเหลือแค่ 10 บาท นั่นหละ “จุดช้อนหุ้นของผม”
น้ำคงไม่ท่วมทุกปี แถมพฤติกรรมคนไทยไม่ค่อยย้ายถิ่นฐาน ต่อให้บริเวณนั้นเสี่ยงต่อการที่น้ำจะท่วมอีกก็ตาม ยิ่งบริษัทมีการพัฒนาระบบมากขึ้น รับรองไม่เกิน 3 ปี ราคาหุ้น PS ต้องกลับมา หัวสมองคิดเช่นนั้น สุดท้ายใช้เวลาแค่ 1 ปี ราคาหุ้น PS ดีดกลับมายืน 25 บาทเหมือนเคย
ครั้งหนึ่งราคาหุ้น PS เคยขึ้นไปสร้างสถิติสูงสุดที่ 35 บาท “สูงมากแต่ไม่ขาย” เพราะเชื่อว่าโอกาสไปต่อมีแน่ โมเดลธุรกิจไม่หยุดอยู่แค่ในเมืองไทย เขาจะมุ่งหน้าโกอินเตอร์ ถ้าเขาไม่ออกไปเติบโตนอกบ้าน เราอาจขายหุ้นออก แต่หากราคาหุ้น PS ลดลงมาอยู่ที่ 10 บาทอีกครั้ง “จะซื้ออีก”
มีหุ้นตัวอื่นอีกมั้ย? เขาทำท่าคิด ก่อนตอบว่า หุ้น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ซื้อมา 5-6 ปีแล้ว “ต้นทุน 15 บาท ตอนนี้ราคา 80 บาทแล้ว”!!
เหตุผลที่ซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะว่า ช่วงหนึ่งมีข่าวว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ติดอันดับ 1 ใน 10 โรงพยาบาลระดับโลก เมื่อเป็นเช่นนั้นอนาคตคนไข้ต่างชาติต้องสูงขึ้นจาก 30 เปอร์เซ็นต์แน่นอน ผ่านมาตอนนี้สัดส่วนต่างชาติเปลี่ยนเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ เขาสามารถขยายเพดานได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ อนาคตคงกลายเป็นโรงพยาบาลต่างชาติ (หัวเราะ)
ฃครั้งหนึ่งเคยใช้บริการโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ค่าห้องธรรมดาตกวันละ 3,000 บาทต่อคืน ตอนนี้ปาเข้าไป 8,000 บาทต่อคืน ส่วนห้องวีไอพี 15,000 บาทต่อคืน เรื่องระบบของโรงพยาบาลของเขากินขาดที่อื่นสู้ไม่ได้จริงๆ ล่าสุดเขากำลังจะสร้างโรงพยาบาลอีกแห่งบนถนนเพชรบุรี และจะลงทุนสร้างโรงพยาบาลในเมืองจีน และเวียดนาม
“เจ้าของพอร์ต 8 หลัก” เล่าว่า พึ่งซื้อ หุ้น บ้านปู หรือ BANPU ต้นทุน 300 บาท ซื้อก่อนที่บริษัทจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท แตกครั้งหนึ่งราคาหุ้นเคยพุ่งสูงถึง 700 บาท ก่อนราคาจะทยอยลดลง หลังราคาถ่านหินลดลงจาก 140 เหรียญต่อตัน เหลือ 70 เหรียญต่อตัน แถมยังมาแพ้คดีโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ เมืองหงสา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต้องจ่ายค่าปรับ 30,000 ล้านบาท ภายในเวลา 30 ปี
“ถ่านหินไม่มีวันตาย” ระยะสั้นจะไม่ถูกทดแทนด้วย “เชลล์แก๊ส” (Shale Gas) ยกเว้นแถบอเมริกาเหนือ ตั้งใจจะถือหุ้น บ้านปู ประมาณ 3 ปี โอกาสจะขึ้นไป 700 บาท คงยาก ราคานั้นได้เห็น เพราะเขาขายเหมืองเมืองจีน ราคาถึงเด้งขึ้นมา แต่เป็นเพราะระยะสั้นเท่านั้น
หากตัดเรื่องนั้นออกไปราคาเหมาะสมของหุ้น บ้านปู จะอยู่ที่ 400-500 บาท “ผมหวังว่าจะเห็นราคานี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า” นี่คิดจากโมเดลที่เขากำลังเปลี่ยนมาทำโรงไฟฟ้ามากขึ้น สัดส่วนอนาคตน่าจะเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ จาก 30 เปอร์เซ็นต์ในปัจจุบัน
ตัวสุดท้าย คือ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ (BGH) เพิ่งซื้อเมื่อปี 2555 ต้นทุน 110 บาท เขามีแผนงานที่ชัดเจน เป้าหมายอยู่ที่ไหนเขาอธิบายได้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลประมาณ 30 แห่ง ภายใน 3 ปีข้างหน้า เขาอยากมีโรงพยาบาล 50 แห่ง และมียอดขายเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว “ผมขอยืดแผนธุรกิจเขาออกไปอีก 2 ปี” ฉะนั้นภายใน 5 ปีข้างหน้า ราคาหุ้น BGH อาจขึ้นไปซื้อขาย 200 บาท ถามว่า เขาจะหาเงินลงทุนจากไหน เงินสดเขาเยอะ แถมอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ต่ำแค่ 0.5 เท่า
โรงพยาบาลในเครือกรุงเทพ ตอนนี้ยังมีส่วนแบ่งการตลาดในแง่ของเตียงคนไข้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นโอกาสขยายตัวในต่างจังหวัดยังมีอีกเยอะ แถมอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงพยาบาลยังสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นั่นแปลว่า หากเขาจะสร้างโรงพยาบาลใหม่จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 4-5 ปี ตั้งใจจะถือหุ้น BGH ประมาณ 10 ปี หากหุ้นลงจะซื้อเพิ่ม
ไม่อยากบอกว่า กำลังเล็งจะช้อนหุ้นตัวไหน เอาเป็นว่า ดัชนีลงจาก 1,600 จุด เหลือ 1,200 จุด ทำให้มีหุ้นหลายตัวน่าสนใจ อาทิเช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มค้าปลีก คุณลองไปดูสิมีราคาหุ้นมากมายที่ลดลงแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆที่พื้นฐานไม่เปลี่ยนสักนิด
“ทุกครั้งที่ได้กำไรจากการลงทุน ผมมักจะนำไป “ทบต้น” หรือเก็บเป็นเงินสด เมื่อมีจังหวะจะนำเงินเหล่านั้นออกมาซื้อหุ้น เงินเดือนจากการทำงานส่วนใหญ่จะนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บางเดือนผมใช่ไม่หมด”
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุน? เขาบอกว่า ส่วนใหญ่จะเน้นดู ประการที่หนึ่ง“โครงการธุรกิจ” และแผนงานในอนาคต “พูดแล้วทำได้จริงหรือไม่ หรือแค่ราคาคุย” ประการที่สอง “งบการเงิน” เรื่องนี้สำคัญ เราต้องดูว่า เขามีเงินสดเท่าไร ไม่ได้กำหนดว่า ต้องมีมากแค่ไหน ขอแค่เพียงพอสำหรับการลงทุนและทำธุรกิจพอ
ดูอย่าง “บมจ.บ้านปู” เขามีเงินสดมากถึง 20,000 ล้านบาท บริษัทแบ่งมาซื้อหุ้นคืน 4,000 ล้านบาท และจ่ายค่าปรับโครงการหงสา แค่นี้เรื่อง “จิ๊บจ๊อย” เงินเยอะขนาดนี้ไม่มีทาง “ล้มละลาย”
ตัวเลขหนึ่งใน “งบการเงิน” ที่นักลงทุนต้องใส่ใจ นั่นคือ “อัตราหนี้สินต่อทุน” หรือ D/E บริษัทที่ดีไม่ควรมีอัตราเกิน 1 เท่า บางครั้งทฤษฎีนี้ไม่สามารถใช้ได้ตายตัว เพราะต้องดูก่อนว่า บริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร
ถามว่า ก่อนจะซื้อหุ้นสักตัว จำเป็นต้องดู “อัตราส่วนราคาต่อกำไร” หรือค่า P/E ย้อนหลังหรือไม่ ส่วนตัวไม่ค่อยเน้นเท่าไร เพราะชอบคำนวณ “อัตราส่วนราคาต่อกำไร” ล่วงหน้ามากกว่า แต่จะทำอย่างนั้นได้ เราต้องรู้ก่อนว่า บริษัทวางธุรกิจในอนาคตอย่างไร หุ้นตัวไหนมีค่า P/E และ “มูลค่าตามบัญชี” หรือ P/BV ยิ่งต่ำยิ่งดี ส่วน “อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น” หรือ ROE เน้น “ยิ่งสูงยิ่งดี”
ซื้อหุ้นเราควรมองไปข้างหน้า ดูเรื่องแผนธุรกิจเป็นหลัก แต่หลายคนชอบมองไปข้างหลัง ชอบดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร และมูลค่าตามบัญชีย้อนหลัง จริงอยู่การมองกระจกหลัง 3-5 ปีก่อน เป็นเรื่องที่ดี แต่เราอย่าลืมดูกระจกหน้าควบคู่ไปด้วย สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด เราต้องเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุน หากไม่รู้เรื่องอย่าเข้าไป
“ในตลาดหุ้นมีธุรกิจดีๆมากมายที่หลายคนบอกว่าดี แต่บังเอิญผมไม่ค่อยเข้าใจ โดยเฉพาะ “กลุ่มแบงก์” ที่มีการตั้งสำรองหนี้เยอะ ดูงบดุลแล้วงง “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” อีกตัวที่จะไม่เข้าไปลงทุน คุณลองไปถามทิศทางผลประกอบการกับซีอีโอบริษัทก่อสร้างสิ ส่วนใหญ่ตอบไม่ได้ แล้วเราจะประเมินกิจการของเขาได้อย่างไร”
คนส่วนใหญ่หวาดกลัวตลาดหุ้น เพราะคิดว่าเป็น “แหล่งพนัน” หลายคนเข้ามาคิดจะเอาแต่กำไรอย่างเดียว สุดท้าย “เจ๊ง” เพราะคุมความโลภตัวเองไม่ได้ เห็นคนอื่นเข้ามาลงทุนแล้วรวยเงินเยอะ เกิดอารมณ์อยากได้บ้าง แต่คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่า บุคคลเหล่านั้นเขาผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมายืนจุดนี้ได้ บางคนขาดทุนหนักมาก
“อยากให้นักลงทุนมือใหม่คิดว่า ซื้อหุ้นคือ การลงทุนชนิดหนึ่ง เมื่อคิดได้เช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าตลาดหุ้นทุกวัน เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ดีกว่า”
“ไอดอลแห่งการลงทุน” ของผมมีอยู่ 3 คน อาทิเช่น “วอร์เรน บัฟเฟตต์” คนนี้จะสอนว่า ซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ “ฟิลลิป ฟิชเชอร์” จะสอนว่า ต้องถือหุ้นระยะยาว 5-10 ปี ส่วน “จอร์จ โซรอส” ไม่ได้นำวิธีการของเขามาใช้ นำมาแต่หลักคิด “ควรมอง“Downside” ก่อน “Upside” สำหรับ “เบนจามิน เกรแฮม” เขาไม่ค่อยมองธุรกิจสนใจแต่งบการเงิน “ปีเตอร์ ลินซ์” ชอบหุ้นพื้นฐาน แต่ทำมาทำไปเล่นสั้นไปหน่อย นักลงทุน 2 รายหลัง ไม่ค่อยนำหลักคิดเขามาใช้เท่าไร ดูไม่ค่อยเหมาะกับจริตของเรา”
“ผมไม่ค่อยชอบคุยกับผู้บริหาร บ้างคนขี้โม้ ทำไม่ได้แต่ชอบพูด บางคนไม่ชอบพูดความจริง แต่ผมชอบไปเดินเยี่ยมชมกิจการที่ตัวเองลงทุน โรงพยาบาล,เซเว่น อีเลฟเว่น เดินปล่อยมาก หากจำเป็นต้องสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หากมีโอกาสจะพูดคุยกับฝ่าย IR ”
วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556
แนวคิดจากตลาดหุ้นสู่ Forex ภาคต่อจากเว็บพันทิพย์ เรื่อง 7 วิธีการ trade หุ้นในตลาดหุ้นให้ได้กำไร และ โอกาสขาดทุนเป็น 0
บทความฉบับเต็ม |
แนวคิดจากตลาดหุ้นสู่ Forex![]() บทความนี้ผมเขียนมาจากกระทู้หนึ่งในเว็ป พันทิป ซึ่งน่าจะเป็นห้องที่เกี่ยวกับวงการหุ้นตัวบทความจริง ๆ ชื่อ “7 วิธีการเทรดหุ้นในตลาดหุ้นให้ได้กำไรและโอกาสขาดทุนเป็นศูนย์” โดย user ชื่อ ภูพิงค์กับอิงดาว บทความนี้เค้าเขียนขึ้นมาจากการสังเกตลูกค้าของเขา (จขกท. เป็น มาร์เก็ตติ้งหรือมาร์) เขาสังเกตว่าลูกค้าที่ประสบความสำเร็จและลูกค้าที่ไม่ประสบความสำเร็จมีอะไรหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน ผมเลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาโดยประยุกต์วิธีการในตลาดหุ้นมาเป็นของ Forex เพื่อจะเป็นแนวทางให้กับใครหลาย ๆ คนครับ คนที่ 1: อดทนอย่างใจเย็น ตัวเจ้าของกระทู้เล่าว่าลูกค้าคนนี้เป็นประเภทถือทนมาก ๆ ถือแล้วไม่ยอมขาย สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะตัวลูกค้าคนนี้ทำธุรกิจอย่างอื่นด้วยเลยไม่มีเวลามาดูกราฟ ไม่มีเวลานั่งเฝ้า อ่านบทวิเคราะห์ก็ไม่เป็น แต่สิ่งที่เค้าทำคือเค้ามองความเป็นจริงที่อยู่ใกล้ตัวของเขา ถึงแม้ว่าตัวคุณเจ้าของกระทู้จะโทรไปให้คำแนะนำเค้าบ้างแต่เค้าก็เลือกที่จะเชื่อตัวเองและเทรดตามวิถีทางที่ตัวเองถนัด หากเทียบเป็นตลาด Forex ลูกค้าคนนี้คงจะเป็นสายเทรดยาว (Long Term Trader) โดยที่เขาดูกราฟไม่เป็น ดูข่าวไม่เป็น แต่สิ่งที่เขามีคือความใจเย็นที่จะอดทนรอได้ในยามที่กราฟไม่เป็นใจและมีความมั่นใจในการบริหารเงินของตัวเอง คนที่ 2: รักเดียวใจเดียว คนนี้เป็นคนที่ชอบเล่นหุ้นอยู่ตัวเดียวด้วยเหตุผลที่ว่าเคยเอาเงินไปให้เพื่อนเทรดให้แล้วไม่ประสบความสำเร็จเลยเอามาจัดการเองซะเลย เจ้าของกระทู้เคยเสนอแผนการเทรดตัวอื่นหลาย ๆ ตัวไปให้แต่เขาก็ไม่สนใจ คนนี้พอจะมีเวลานั่งเฝ้ากราฟด้วย วิธีการเทรดของเขาคือใช้วิธีถัวซื้อไปเรื่อย ๆ ในงบที่จำกัดเช่น เห็นกราฟลงอีกก็ซื้อ ลงอีกก็ซ้ำอีก ในงบประมาณที่ตัวเองเอาอยู่หากเป็น Forex แล้ววิธีนี้ถือว่าคนคนนี้จะต้องมีการบริหารจัดการเงินที่ดีมากในระดับหนึ่งเลย เพราะถ้าลงอีกก็ซื้ออีกนั่นแปลว่าเขาไม่ได้ใช้วิธีการเทรดเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจสักเท่าไหร่ แต่ที่เขาเน้นคือ เงินของเขารับไหวไหมและพฤติกรรมของกราฟตัวนั้นเพียงตัวเดียว หากเปรียบเป็นนักพนันในคาสิโนแล้วคนประเภทนี้จะเล่นเกมส์อยู่เกมส์เดียวเพราะมีความเชื่อว่า ถ้าเราสามารถพยากรณ์พฤติกรรมของคนในเกมส์นั้นได้เราจะได้เปรียบและการที่ไม่กระจายเงินไปเล่นนั้นนิดนี้หน่อยก็ทำให้คนมีเงินมากพอที่จะทนถือได้นาน ๆ คนที่ 3: เล่นแต่ของเคย ๆ คนนี้หลักการง่าย ๆ ใกล้ ๆ เคียงกับคนที่สองคือ เล่นเฉพาะกราฟที่ตัวเองคุ้นเคยเท่านั้นและหลักการของเขาก็ยังไม่ยุ่งยากอีกด้วยคือ ไม่ไล่ ไม่คัน ไม่ง้อ ลงก็ซื้อ ไม่ลงก็ไม่เล่น คนนี้เขามีงบจำกัดเลยไม่เทรดแบบกระจายพอร์ต จะเห็นได้ว่าคน ๆ นี้มีวิถีที่ชัดเจนคือ เชื่อมั่นในตัวเองสูง ถึงจะมีงบที่จำกัดแต่ก็รู้มีวิธีที่จัดการงบของตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด มี Mind และ Method ที่แน่นอนเลยก่อให้ Money ของเขาเกิดประโยชน์สูงสุดไปในทางที่เขาต้องการนั่นเอง คนที่ 4: ค่อย ๆ สะสม ลูกค้าของคุณเจ้าของกระทู้คนนี้ไม่ได้มีทุนมากมายเหมือนคนก่อนหน้า แถมยังมีเรื่องภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวอีก เงินที่นำมาลงทุนเลยมีไม่มากนัก มีแต่ใจที่ชื่นชมวอเรน บัฟเฟตเป็นไอดอล วิธีการเทรดของเค้าก็ถือเค้าเทรดทุกตัวที่เค้าสนใจแน่นอนว่าบางตัวก็ไปได้สวย บางตัวก็ติดห้วยติดดอย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีภาระทางการเงินมากมายแต่เค้าก็ยังสามารถแบ่งเงินมาเติมพอร์ตในการลงทุนของตัวเองได้ทุกเดือน เทคนิคนี้สำหรับตลาด Forex ก็สามารถใช้ได้เหมือนกันครับเพียงแต่ว่าคุณต้องไม่ใจร้อนล้างพอร์ตไปก่อนนะครับ จากตัวอย่างนี้จะเห็นเลยว่าคนที่ 4 มีความมุ่งมั่นในการเก็บเงินที่จะนำมาลงทุนมาก นี่เป็นข้อดีอย่างนึงที่ทำให้เขามีทุนเทรดทั้ง ๆ ที่ทำงานไปด้วยและก็มีประสบการณ์การอยู่ในตลาดไปด้วยครับ ![]() ผมขอสรุปสิ่งที่ 4 คนนี้มีเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการเทรดครับ คนที่ 1: คนนี้มีความอดทนสูงเป็นอับหนึ่งครับรองลงมาคือเค้ามีทุนรองรับพอสำหรับการเทรดยาวของเค้า ข้อดีของเค้าคือเค้าไม่ต้องมากังวลเรื่องสวิงเล็กสวิงน้อยใน Time Frame เล็ก ๆ มากและที่สำคัญคือเค้ามีความเชื่อมั่นในตัวเอง ฟังคนอื่นได้แต่เลือกที่จะตัดสินใจเองถึงแม้ว่าที่ปรึกษาจะมีประสบการณ์มากกว่าก็ตาม คนที่ 2: คนนี้เด่นที่เรื่องของการเทรดตัวเดียวและมีการบริหารเงินทุนที่เหมาะกับวิธีการเทรดของเค้าถึงแม้ว่าวิธีการเทรดของเค้าอาจจะดูเหมือนการพนันไปนิดนึงแต่ถ้าการบริหารทุนของเค้าสามารถรองรับพฤติกรรมการเทรดแบบนี้ได้ก็ถือว่าโอเคครับเพราะสไตล์ใครสไตล์มันแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากันอยู่ละ คนที่ 3: เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มีงบในการเทรดอย่างจำกัดวิธีการเทรดของเค้ามีกฎที่ชัดเจนและตัวเค้าเองก็สามารถปฏิบัติตามกฏได้อย่างเคร่งครัด คนที่สามารถปฏิบัติตามกฏการเทรดของตัวเองได้อย่างเคร่งครัดจริง ๆ สิ่งหนึ่งที่ผมรับประกันได้เลยก็คือคุณจะไม่ล้างพอร์ตอย่างรวดเร็วแน่นอน คนที่ 4: คนนี้เป็นตัวอย่างที่ในเรื่องของการบริหารจัดการทุน ไม่เพียงเฉพาะทุนในการเทรดเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการบริหารเงินในชีวิตประจำวันของเขาอีกด้วย ผมค่อนข้างชอบคนที่ 4 ที่สุดด้วยเหตุผลที่ว่าถึงแม้ว่างบเขาจะมีจำกัดแต่เขาไม่เคยปล่อยให้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการหยุดการเรียนรู้เรื่องการลงทุนของเขา ดังนั้นถ้าถามว่าเทรด Forex จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอไหม บางทีลุกลากจอไปทำอย่างอื่นบ้างก็ช่วยเราได้เหมือนกันไม่ให้เป๋ไปกับกราฟ คนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคำว่า “ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียนรู้” การจะเป็นนักลงทุนที่ดีไม่ได้ใช้เวลาแค่ 3-4 เดือนแต่มันต้อง 3-4 ปีขึ้นไป ดังนั้นสำหรับเทรดเดอร์หน้าใหม่ที่เข้ามาผมอยากให้ดูคนนี้ไว้เป็นตัวอย่างนะครับ คุณไม่ต้องรีบร้อนที่จะรวย ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานประจำมาทำ ไม่จำเป็นต้องไปยืมเงินคนอื่นมาลงทุน ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นในการเทรด คุณก็สามารถเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งได้หากคุณรู้จักคำว่า “อด-ทน-รอ” ความจริงแล้วยังเหลืออีก 3 คนไว้วันพรุ่งนี้ผมจะมาพูดถึงอีก 3 คนต่อให้ครับ
|
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)