วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 1 ทำเป็นเก่ง เจ๊งสถานเดียว web pantip
ที่มา : ThaiDayTrade, credit : boardthai.net/jadetjomjone
หมายเหตุ บทความนี้เป็นบทความยาวมากที่อ่านเจอในอินเตอร์เน็ตเอามาแชร์กันมีทั้งหมด 17 ตอนนะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่าน จะค่อยทยอยลงให้ครบนะครับ
--------------------------------------------------------------------
“ถ้าสามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำในตลาดหุ้น เราจะมานั่งทำงานประจำอยู่ทำไม ในเมื่อนั่งค้าขายหุ้นมันทำกำไรได้มากกว่าและเร็วกว่าตั้งเยอะ” ……… นี่เป็นความคิดแรกของคนที่รักสบาย หวังใช้เงินทำงานให้อย่างผม
วิชาการ ความมั่นใจ ความร้อนวิชา และ ความหวัง ค่อยๆสลายไปในช่วงแรกๆของการลงทุน เราทุกคนต่างเอาเงินที่หาได้มาด้วยความยากลำบากมาถมทิ้งในตลาดหุ้นวันแล้ว วันเล่า ถือเป็นบทเรียนราคาแพง แพงกว่าคอร์สการอบรมใดๆ ในโลกนี้ที่เคยมีมา
คำถามในขณะนั้นที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะถอย หรือ จะเริ่มต้นใหม่ให้ถูกทิศถูกทาง? คำถามถัดไปก็คือ แล้วทำไมคนอื่นถึงประสบความสำเร็จ แล้วเขาทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อะไรคือความลับในตลาดหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง!
ถึงแม้แต่ละคนในห้องค้าจะไม่รู้จักกัน แต่ทำไมข้อผิดพลาดเดิมๆ จึงเกิดขึ้นในแต่ละวันซ้ำๆกันได้ทั้งที่มิได้นัดหมายกันมา แม้กระทั่งกลุ่มเราเองตอนเริ่มต้นเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น เทรดแบบนี้แล้วเจ๊ง ก็ยังผิดซ้ำๆกันอย่างต่อเนื่อง แล้วทำไมรายใหญ่ในห้อง VIP ของห้องค้าที่เล่นหุ้นเป็นอาชีพ ถึงสามารถทำเงินก้อนโตได้ ….ทำไม กองทุนต่างชาติถึงเล่นยังไงก็ได้กำไรวันยังค่ำ หรือ ผู้จัดการกองทุนเหล่านั้นจะมีสูตรลับในการลงทุน หรือ เราเรียนมาคนละตำรากัน?
หลังจากขนตำราด้านการเงินการลงทุนบริจาคเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เริ่มต้นใหม่หมดด้วยการปรับความคิดใหม่ เสมือนว่าไม่มีความรู้อะไรติดตัวมาเลย แล้วเฝ้าสังเกตสไตลล์การเทรดของบรรดาเซียนหุ้นที่อยู่ในตลาดมานาน และ ขอเข้าพบ เข้าสัมภาษณ์ รายใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ตามห้องค้าต่างๆ รวมทั้งขอเชิญผู้จัดการกองทุนต่างชาติมาดินเนอร์ เผื่อแกจะเบลอๆ แล้วเผลอคายความลับให้เราทราบบ้าง
ถึงแม้ตลาดหุ้นจะเอาเงินมาถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แต่ในอีกมุมหนึ่งโอกาสทำเงินในตลาดหุ้นก็มีมากมายเหลือเกิน แล้วทำไมเส้นผมบังภูเขาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ถึงเป็นความลับมานานแสนนาน ว่าแล้วก็พิมพ์เรื่องราว เพื่อถอดรหัสตลาดหุ้น เพื่อแยกกลุ่มคนที่พร้อมจะเรียนรู้ออกจากกลุ่มคนที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล และ หวังเห็นรายย่อยวันนี้ เป็นแมงเม่ารุ่นสุดท้ายของตลาดหุ้นไทย
“ถอดรหัสตลาดหุ้น” นี้ เราจะเริ่มจากคำนำที่ท่านอ่านอยู่นี้ จากนั้นจะกล่าวถึงเทคนิคที่หากท่านปฏิบัติตามจะทำให้จนฉับพลัน (รับรองผล) ตามด้วยเทคนิคแห่งความรวยเรื้อรัง ตบท้ายด้วยการตีแผ่กลยุทธ์กลวิธีของผุ้เล่นรายใหญ่ในตลาดหุ้น และส่งท้ายด้วยบทความ “อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของเราไป” …….. หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน ตามสมควร โดยเฉพาะมือใหม่
ที่มา : ThaiDayTrade
=======================================
ถอดรหัสตลาดหุ้น #1 ทำเป็นเก่ง เจ๊งสถานเดียว
การเริ่มต้นของหลายๆท่านจะเริ่มต้นคล้ายๆกัน เอาตำรามาอ่าน, พิมพ์เอกสารและข้อมูลดิบมากมายที่ใครๆ ก็รู้กันทั่วไป เช่น งบการเงิน ค่าพีอี ค่าบีวี และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ มาศึกษา แล้วทำเป็นวิเคราะห์นั่น วิเคราะห์นี่ แล้วก็คิดเองเออเองว่าข้าเก่ง วิเคราะห์เก่ง มั่นใจ จนลืมไปว่าก่อนที่ท่านจะวิเคราะห์ มีกองทุนมากมายหลายกองนำข้อมูลไปประกอบการวิเคราะห์ก่อนท่านแล้ว และถ้ามันดีเขาก็ซื้อไปก่อนท่านแล้ว
ไม่ต้องมองใครเลยครับ ผมเองก็เริ่มแบบนั้น แหมๆ ก็จบเกียรตินิยมทางการบัญชีมานี่ครับ และต่อโทสายตรงทางด้าน Finance ซะด้วย แถมยังมีประสบการณ์ ทำงานเป็น Financial Consultant สังกัดบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอีก ดูเหมือนจะได้เปรียบคนอื่นด้วยซ้ำหากจะเล่นหุ้น เพราะเราวิเคราะห์เองได้หมด ทั้งงบการเงิน ชำแหละกระแสเงินสดของกิจการ หาอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ วิเคราะห์แนวโน้ม เจาะลึกนโยบายธุรกิจ ติดตามกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัท ฮี่โธ่ ซำบายอยู่แล้ว สุดแสนจะชิวๆ
ตอนเริ่มต้น ผมนั่งค้นคว้าสำรวจหุ้นเกือบทุกตัวที่มีอยู่ในตลาด แล้วเลือกเอาเฉพาะหุ้นที่มี พี/อีต่ำๆ ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากๆ คัดมาได้ 40 ตัว พร้อมทั้งแปลกใจ ว่าทำไมมีแต่เพียงเราเท่านั้นที่เป็นผู้ค้นพบแต่เพียงผู้เดียว ว่าหุ้นพวกนี้เป็นหุ้นราคาถูก เพราะหากเซียนหุ้นคนอื่นหรือกองทุนค้นพบ มันก็น่าจะโดนซื้อจนราคาแพงไปมากกว่านี้แล้วนะเนี่ยะ
จากหุ้น 40 ตัว ที่เลือกมาอย่างชาญฉลาด ผมก็เอามาคัดเลือกอีก เลือกเฉพาะที่ปันผลสม่ำเสมอ เงินสดดี หนี้สินน้อย และ ROE สูงๆ
หลังจากทุกทฤษฏีในตำราได้แปรเป็นการวิเคราะห์ ในที่สุดผมก็ลงทุนครั้งแรก ด้วยหุ้นชั้นเลิศราคาถูกจำนวน 5 ตัว …… เป็น 5 ตัวที่แน่นิ่ง และ มั่นคง ตลอด 2 ไตรมาสเลย …… ฉันจะขอคงอัตราส่วน พีอี พีบีวี ไว้อย่างงี้แหละ ว่างั้น
ตลอด 2 ไตรมาสของการเริ่มลงทุน มีโอกาสได้ฟังนักวิเคราะห์บ่อยขึ้น ได้อ่านบทวิเคราะห์ไทยๆ มากขึ้น ฟังดูเข้าท่าแหะ มันรื่นหูดี ทุกสรรพสิ่งความดีในบริษัท ออกมาอธิบายเป็นฉากๆ อย่ากระนั้นเลย ขายทิ้งชุดเก่า เข้าชุดใหม่ตามนักวิเคราะห์ น่าจะทำให้เงินงอกเงยงดงาม
“สาเหตุที่หุ้นแบ็งค์ใหญ่ BBB ขึ้น เพราะปีนี้เป็นปีทองของแบ็งค์ เราแนะนำซื้อหุ้น BBB เพราะ (อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น) ……… ” แหะๆ ลืมแล้วครับ ว่า ไนล์ ฮวงโห แยงซีเกียง มิสซิปซิปปี้ และ เจ้าพระยา ที่ยกแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายมีอะไรบ้าง จำได้ขึ้นใจอยู่อย่างเดียวว่า “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ”
โอ้โห ราคาตอนนี้ 102 บาทเอง มีโอกาสงอกเงยขึ้นอีกตั้ง 28 บาทแน๊ะ ซื้อครับซื้อ ปีทองของแบ็งค์เชียวนะ ผมต้องซื้อลงทุนแล้วล่ะ
หลังจากที่ผมซื้อไปแล้ว ราคาไม่ยักกะขึ้น มีหนำซ้ำยังลงมาเหลือ 98 บาท ด้วยซ้ำ …. นักวิเคราะห์คนเดิมออกทีวี บรรยายว่าดี อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ” นั่นนะซิ ได้ราคาถูกกว่าเดิมตั้ง 4 บาท ทำไมผมจะไม่ซื้อล่ะ
อ้าว 1 สัปดาห์ผ่านไป ไฉนลงมาเหลือ 96 บาทล่ะ แต่ผมก็ “คลายกังวล” เมื่อนักวิเคราะห์คนเดิม ออกทีวียืนยันความมั่นใจ ในหุ้น BBB พร้อมบรรยายว่าดีอย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ” เอาล่ะ ซื้อก็ซื้อ ถือว่าถัวเฉลี่ยต้นทุนแล้วกัน
สัปดาห์ที่สอง ราคายังลงต่ออีก เหลือ 92 บาทเอง นักวิเคราะห์คนนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ ต่อให้โผล่หน้ามาออกทีวี แล้วยืนยันให้ซื้อเพราะมันดีอย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น ก็ไม่ซื้อแล้วล่ะ ผมไม่มีเงินซื้อแล้วครับ
สัปดาห์ที่สาม ราคาลงมาเหลือ 88 บาท ผมยังเฉยๆนะ เพราะจำที่นักวิเคราะห์บอกได้ ว่าปีนี้เป็นปีทองของแบ็งค์ ยังไงเดี๋ยวก็ต้องกลับไป 130 บาทอยู่ดี ….. แต่แล้ว สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนักวิเคราะห์คนเดิม โผล่มาทางทีวีแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมเอื้อนเอ่ยวจีอันโหดร้ายว่า
“สาเหตุที่หุ้นแบ็งค์ใหญ่ BBB ลง เพราะ(อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น) ……… ” แหะๆ ลืมแล้วครับ ว่าน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งทั้งห้า ที่สาธยายมามีอะไรบ้าง จำได้ขึ้นใจ อยู่อย่างเดียวว่า “เราปรับประมาณการลง ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท Recommend
ขาย” …… (ฮา) จากที่ผมเฉยๆ ที่หุ้นลง เลยกลายเป็นความกังวลในทันที อ้าว เป็นปีที่ย่ำแย่ของหุ้นกลุ่มแบ็งค์ซะแล้ว
ในที่สุดบทเรียนบทที่ 1 ของผมก็เริ่มต้น คอร์สนี้เสียค่าลงทะเบียนเกือบแสน ขืนผมยังลงทะเบียนเรียนซ้ำเห็นทีจะพลาดท่า หมดตัวแน่!
เพื่อนๆ หน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้น คงเคยลงคอร์สเดียวกับผมกันมาแล้วทั้งนั้นใช่ไหมครับ ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเรียนซ้ำอีกนะครับ หากที่เรียนมาแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ขอเสนอให้ไปอ่าน ใน Chapter ต่อจากนี้ไปน่าจะดีกว่า นอกจากจะช่วยให้ท่านประหยัดตังค์ได้เยอะแล้ว ยังแจกเงินให้นักเรียนอีกต่างหาก ถ้าสอบผ่าน!
หลังจากเสียค่าวิชาไปแล้ว ผมถึงเข้าใจว่า ตัวเลขในอดีตที่เราหรือผู้อื่นวิเคราะห์โดยว่าไปตามตำราเพียงอย่างเดียว มันยังไม่พอเพียงในการใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน แต่ต้องนำแนวโน้มในอนาคตมาร่วมการตัดสินใจด้วย
ในอดีตผู้ทำธุรกิจเพจเจอร์รุ่นแรกๆ กำไรกันถ้วนหน้า ใครๆก็หลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจนี้ เพราะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรงาม แต่เมื่อเทคโนโลยี่ก้าวหน้าขึ้น SMS บนโทรศัพท์มือถือก็เข้ามาทดแทนเพจเจอร์ และธุรกิจเพจเจอร์ก็ถึงกาลอวสาน
ตัวเลขในอนาคตที่นักวิเคราะห์ทำการประเมินมา มันแปรเปลี่ยนตลอดเวลาตามปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบกิจการเช่นกัน
นักวิเคราะห์ไม่ใช่ผู้บริหารกิจการนะครับ เขาจึงไม่รู้ลึกพอที่จะวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ และก็คงจะไม่มีผู้บริหารกิจการคนไหนเช่นกัน ที่จะบอกนักวิเคราะห์ว่า บริษัทเขากำลังจะย่ำแย่ ในทางตรงข้ามนักวิเคราะห์โดนผู้บริหารกิจการ หลอกเรื่อยแหละว่า กำไรจะดีขึ้น จะจ่ายเงินปันผลได้เพิ่มขึ้น
โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และราคาหุ้นจะแปรไปตามปัจจัยต่างๆที่กระทบต่อกิจการตลอดเวลา เร็วจนหมดเวลาที่จะมานั่งวิเคราะห์ตามตำรา แล้วคิดเองเออเองแล้วครับ อย่าลืมว่าสิ่งที่ท่านวิเคราะห์อยู่ มีเซียนหุ้น มีกองทุนต่างๆ วิเคราะห์ก่อนท่านหมดเกลี้ยงแล้ว แล้วถ้าเขายังไม่ใส่เงินเข้ามาซื้อ ท่านจะซื้อรออะไร
หุ้นที่ดีในอดีต อาจจะไม่ใช่หุ้นดีในวันนี้ และ หุ้นที่ดีในวันนี้ อาจจะเป็นหุ้นที่แย่ ในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ได้ใช่ไหมครับ
เก็บตำรา จับตาดูความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันดีที่สุดครับ รายใหญ่หรือกองทุนเขาวิเคราะห์มามากแล้วในทุกแง่ทุกมุม ก่อนที่จะขนเงินหลายสิบล้าน หรือ หลายร้อยล้านบาทมาลงทุนในหุ้นแต่ละตัว จนเกิด “สัญญาณซื้อ” ให้เราเห็น
แล้วทำไมเราจะต้องเสียเวลามาวิเคราะห์ถูกๆผิดๆเองล่ะครับ ในเมื่อเราสามารถเกาะกระแสเงินลงทุนของเขาขึ้นไปได้เลยภายในเวลาไม่นานนัก
อย่าผิดพลาดซ้ำๆ เหมือนกับที่ผมเคยทำมา
เอาตำราไปบริจาคห้องสมุด เถอะครับ
ที่มา : ThaiDayTrade
=======================================
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 2 Limit Loss ไม่เป็น เงินเย็นหายเกลี้ยง
http://pantip.com/topic/31313509
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 3 ยิ่งถูกยิ่งซื้อ ยิ่งซื้อยิ่งลง
http://pantip.com/topic/31313523
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 4 ยิ่งไม่กล้าเสี่ยง กลับยิ่งเสี่ยง
http://pantip.com/topic/31313546
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 5 วิ่งไปตามแนวโน้ม
http://pantip.com/topic/31318235
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 6 รู้เขารู้เรา
http://pantip.com/topic/31318368
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 7 เกาะไปกับ Fund Flow
http://pantip.com/topic/31320838
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 8 ขายหมูดีกว่าขายหมา น้ำลายหกดีกว่าน้ำตาตก
http://pantip.com/topic/31323093
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 9 ย้อนรอย วัฏจักรตลาดหุ้น
http://pantip.com/topic/31323096
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 10 กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ
http://pantip.com/topic/31328826
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 11 กลวิธี สวนควันปืน เล่นฝืนมวลชน
http://pantip.com/topic/31328847
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 12 กลวิธี สงครามกองโจร
http://pantip.com/topic/31328895
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 13 กลลวง ข่าวลือ
http://pantip.com/topic/31334298
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 14 กลโกงปั่นหุ้น
http://pantip.com/topic/31334405
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 15 รวยเรื้อรัง หันหลังให้คำว่าเจ๊ง
http://pantip.com/topic/31343092
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 16 วาทะรับน้อง
http://pantip.com/topic/31343158
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า บทส่งท้าย อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของเราไป
http://pantip.com/topic/31351132
credit: http://pantip.com/topic/31313471
หมายเหตุ บทความนี้เป็นบทความยาวมากที่อ่านเจอในอินเตอร์เน็ตเอามาแชร์กันมีทั้งหมด 17 ตอนนะครับ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่าน จะค่อยทยอยลงให้ครบนะครับ
--------------------------------------------------------------------
“ถ้าสามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำในตลาดหุ้น เราจะมานั่งทำงานประจำอยู่ทำไม ในเมื่อนั่งค้าขายหุ้นมันทำกำไรได้มากกว่าและเร็วกว่าตั้งเยอะ” ……… นี่เป็นความคิดแรกของคนที่รักสบาย หวังใช้เงินทำงานให้อย่างผม
วิชาการ ความมั่นใจ ความร้อนวิชา และ ความหวัง ค่อยๆสลายไปในช่วงแรกๆของการลงทุน เราทุกคนต่างเอาเงินที่หาได้มาด้วยความยากลำบากมาถมทิ้งในตลาดหุ้นวันแล้ว วันเล่า ถือเป็นบทเรียนราคาแพง แพงกว่าคอร์สการอบรมใดๆ ในโลกนี้ที่เคยมีมา
คำถามในขณะนั้นที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะถอย หรือ จะเริ่มต้นใหม่ให้ถูกทิศถูกทาง? คำถามถัดไปก็คือ แล้วทำไมคนอื่นถึงประสบความสำเร็จ แล้วเขาทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ อะไรคือความลับในตลาดหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง!
ถึงแม้แต่ละคนในห้องค้าจะไม่รู้จักกัน แต่ทำไมข้อผิดพลาดเดิมๆ จึงเกิดขึ้นในแต่ละวันซ้ำๆกันได้ทั้งที่มิได้นัดหมายกันมา แม้กระทั่งกลุ่มเราเองตอนเริ่มต้นเป็นมือใหม่ในตลาดหุ้น เทรดแบบนี้แล้วเจ๊ง ก็ยังผิดซ้ำๆกันอย่างต่อเนื่อง แล้วทำไมรายใหญ่ในห้อง VIP ของห้องค้าที่เล่นหุ้นเป็นอาชีพ ถึงสามารถทำเงินก้อนโตได้ ….ทำไม กองทุนต่างชาติถึงเล่นยังไงก็ได้กำไรวันยังค่ำ หรือ ผู้จัดการกองทุนเหล่านั้นจะมีสูตรลับในการลงทุน หรือ เราเรียนมาคนละตำรากัน?
หลังจากขนตำราด้านการเงินการลงทุนบริจาคเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เริ่มต้นใหม่หมดด้วยการปรับความคิดใหม่ เสมือนว่าไม่มีความรู้อะไรติดตัวมาเลย แล้วเฝ้าสังเกตสไตลล์การเทรดของบรรดาเซียนหุ้นที่อยู่ในตลาดมานาน และ ขอเข้าพบ เข้าสัมภาษณ์ รายใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ตามห้องค้าต่างๆ รวมทั้งขอเชิญผู้จัดการกองทุนต่างชาติมาดินเนอร์ เผื่อแกจะเบลอๆ แล้วเผลอคายความลับให้เราทราบบ้าง
ถึงแม้ตลาดหุ้นจะเอาเงินมาถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แต่ในอีกมุมหนึ่งโอกาสทำเงินในตลาดหุ้นก็มีมากมายเหลือเกิน แล้วทำไมเส้นผมบังภูเขาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ถึงเป็นความลับมานานแสนนาน ว่าแล้วก็พิมพ์เรื่องราว เพื่อถอดรหัสตลาดหุ้น เพื่อแยกกลุ่มคนที่พร้อมจะเรียนรู้ออกจากกลุ่มคนที่จะเป็นผู้แพ้ตลอดกาล และ หวังเห็นรายย่อยวันนี้ เป็นแมงเม่ารุ่นสุดท้ายของตลาดหุ้นไทย
“ถอดรหัสตลาดหุ้น” นี้ เราจะเริ่มจากคำนำที่ท่านอ่านอยู่นี้ จากนั้นจะกล่าวถึงเทคนิคที่หากท่านปฏิบัติตามจะทำให้จนฉับพลัน (รับรองผล) ตามด้วยเทคนิคแห่งความรวยเรื้อรัง ตบท้ายด้วยการตีแผ่กลยุทธ์กลวิธีของผุ้เล่นรายใหญ่ในตลาดหุ้น และส่งท้ายด้วยบทความ “อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของเราไป” …….. หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน ตามสมควร โดยเฉพาะมือใหม่
ที่มา : ThaiDayTrade
=======================================
ถอดรหัสตลาดหุ้น #1 ทำเป็นเก่ง เจ๊งสถานเดียว
การเริ่มต้นของหลายๆท่านจะเริ่มต้นคล้ายๆกัน เอาตำรามาอ่าน, พิมพ์เอกสารและข้อมูลดิบมากมายที่ใครๆ ก็รู้กันทั่วไป เช่น งบการเงิน ค่าพีอี ค่าบีวี และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ มาศึกษา แล้วทำเป็นวิเคราะห์นั่น วิเคราะห์นี่ แล้วก็คิดเองเออเองว่าข้าเก่ง วิเคราะห์เก่ง มั่นใจ จนลืมไปว่าก่อนที่ท่านจะวิเคราะห์ มีกองทุนมากมายหลายกองนำข้อมูลไปประกอบการวิเคราะห์ก่อนท่านแล้ว และถ้ามันดีเขาก็ซื้อไปก่อนท่านแล้ว
ไม่ต้องมองใครเลยครับ ผมเองก็เริ่มแบบนั้น แหมๆ ก็จบเกียรตินิยมทางการบัญชีมานี่ครับ และต่อโทสายตรงทางด้าน Finance ซะด้วย แถมยังมีประสบการณ์ ทำงานเป็น Financial Consultant สังกัดบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจอีก ดูเหมือนจะได้เปรียบคนอื่นด้วยซ้ำหากจะเล่นหุ้น เพราะเราวิเคราะห์เองได้หมด ทั้งงบการเงิน ชำแหละกระแสเงินสดของกิจการ หาอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ วิเคราะห์แนวโน้ม เจาะลึกนโยบายธุรกิจ ติดตามกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัท ฮี่โธ่ ซำบายอยู่แล้ว สุดแสนจะชิวๆ
ตอนเริ่มต้น ผมนั่งค้นคว้าสำรวจหุ้นเกือบทุกตัวที่มีอยู่ในตลาด แล้วเลือกเอาเฉพาะหุ้นที่มี พี/อีต่ำๆ ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากๆ คัดมาได้ 40 ตัว พร้อมทั้งแปลกใจ ว่าทำไมมีแต่เพียงเราเท่านั้นที่เป็นผู้ค้นพบแต่เพียงผู้เดียว ว่าหุ้นพวกนี้เป็นหุ้นราคาถูก เพราะหากเซียนหุ้นคนอื่นหรือกองทุนค้นพบ มันก็น่าจะโดนซื้อจนราคาแพงไปมากกว่านี้แล้วนะเนี่ยะ
จากหุ้น 40 ตัว ที่เลือกมาอย่างชาญฉลาด ผมก็เอามาคัดเลือกอีก เลือกเฉพาะที่ปันผลสม่ำเสมอ เงินสดดี หนี้สินน้อย และ ROE สูงๆ
หลังจากทุกทฤษฏีในตำราได้แปรเป็นการวิเคราะห์ ในที่สุดผมก็ลงทุนครั้งแรก ด้วยหุ้นชั้นเลิศราคาถูกจำนวน 5 ตัว …… เป็น 5 ตัวที่แน่นิ่ง และ มั่นคง ตลอด 2 ไตรมาสเลย …… ฉันจะขอคงอัตราส่วน พีอี พีบีวี ไว้อย่างงี้แหละ ว่างั้น
ตลอด 2 ไตรมาสของการเริ่มลงทุน มีโอกาสได้ฟังนักวิเคราะห์บ่อยขึ้น ได้อ่านบทวิเคราะห์ไทยๆ มากขึ้น ฟังดูเข้าท่าแหะ มันรื่นหูดี ทุกสรรพสิ่งความดีในบริษัท ออกมาอธิบายเป็นฉากๆ อย่ากระนั้นเลย ขายทิ้งชุดเก่า เข้าชุดใหม่ตามนักวิเคราะห์ น่าจะทำให้เงินงอกเงยงดงาม
“สาเหตุที่หุ้นแบ็งค์ใหญ่ BBB ขึ้น เพราะปีนี้เป็นปีทองของแบ็งค์ เราแนะนำซื้อหุ้น BBB เพราะ (อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น) ……… ” แหะๆ ลืมแล้วครับ ว่า ไนล์ ฮวงโห แยงซีเกียง มิสซิปซิปปี้ และ เจ้าพระยา ที่ยกแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายมีอะไรบ้าง จำได้ขึ้นใจอยู่อย่างเดียวว่า “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ”
โอ้โห ราคาตอนนี้ 102 บาทเอง มีโอกาสงอกเงยขึ้นอีกตั้ง 28 บาทแน๊ะ ซื้อครับซื้อ ปีทองของแบ็งค์เชียวนะ ผมต้องซื้อลงทุนแล้วล่ะ
หลังจากที่ผมซื้อไปแล้ว ราคาไม่ยักกะขึ้น มีหนำซ้ำยังลงมาเหลือ 98 บาท ด้วยซ้ำ …. นักวิเคราะห์คนเดิมออกทีวี บรรยายว่าดี อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ” นั่นนะซิ ได้ราคาถูกกว่าเดิมตั้ง 4 บาท ทำไมผมจะไม่ซื้อล่ะ
อ้าว 1 สัปดาห์ผ่านไป ไฉนลงมาเหลือ 96 บาทล่ะ แต่ผมก็ “คลายกังวล” เมื่อนักวิเคราะห์คนเดิม ออกทีวียืนยันความมั่นใจ ในหุ้น BBB พร้อมบรรยายว่าดีอย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น “เราให้ราคาเป้าหมาย 130 บาท Recommend ซื้อ” เอาล่ะ ซื้อก็ซื้อ ถือว่าถัวเฉลี่ยต้นทุนแล้วกัน
สัปดาห์ที่สอง ราคายังลงต่ออีก เหลือ 92 บาทเอง นักวิเคราะห์คนนั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ ต่อให้โผล่หน้ามาออกทีวี แล้วยืนยันให้ซื้อเพราะมันดีอย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น ก็ไม่ซื้อแล้วล่ะ ผมไม่มีเงินซื้อแล้วครับ
สัปดาห์ที่สาม ราคาลงมาเหลือ 88 บาท ผมยังเฉยๆนะ เพราะจำที่นักวิเคราะห์บอกได้ ว่าปีนี้เป็นปีทองของแบ็งค์ ยังไงเดี๋ยวก็ต้องกลับไป 130 บาทอยู่ดี ….. แต่แล้ว สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนักวิเคราะห์คนเดิม โผล่มาทางทีวีแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมเอื้อนเอ่ยวจีอันโหดร้ายว่า
“สาเหตุที่หุ้นแบ็งค์ใหญ่ BBB ลง เพราะ(อย่างนี้อย่างโน้นอย่างนั้น) ……… ” แหะๆ ลืมแล้วครับ ว่าน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งทั้งห้า ที่สาธยายมามีอะไรบ้าง จำได้ขึ้นใจ อยู่อย่างเดียวว่า “เราปรับประมาณการลง ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท Recommend
ขาย” …… (ฮา) จากที่ผมเฉยๆ ที่หุ้นลง เลยกลายเป็นความกังวลในทันที อ้าว เป็นปีที่ย่ำแย่ของหุ้นกลุ่มแบ็งค์ซะแล้ว
ในที่สุดบทเรียนบทที่ 1 ของผมก็เริ่มต้น คอร์สนี้เสียค่าลงทะเบียนเกือบแสน ขืนผมยังลงทะเบียนเรียนซ้ำเห็นทีจะพลาดท่า หมดตัวแน่!
เพื่อนๆ หน้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้น คงเคยลงคอร์สเดียวกับผมกันมาแล้วทั้งนั้นใช่ไหมครับ ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเรียนซ้ำอีกนะครับ หากที่เรียนมาแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ขอเสนอให้ไปอ่าน ใน Chapter ต่อจากนี้ไปน่าจะดีกว่า นอกจากจะช่วยให้ท่านประหยัดตังค์ได้เยอะแล้ว ยังแจกเงินให้นักเรียนอีกต่างหาก ถ้าสอบผ่าน!
หลังจากเสียค่าวิชาไปแล้ว ผมถึงเข้าใจว่า ตัวเลขในอดีตที่เราหรือผู้อื่นวิเคราะห์โดยว่าไปตามตำราเพียงอย่างเดียว มันยังไม่พอเพียงในการใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน แต่ต้องนำแนวโน้มในอนาคตมาร่วมการตัดสินใจด้วย
ในอดีตผู้ทำธุรกิจเพจเจอร์รุ่นแรกๆ กำไรกันถ้วนหน้า ใครๆก็หลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจนี้ เพราะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรงาม แต่เมื่อเทคโนโลยี่ก้าวหน้าขึ้น SMS บนโทรศัพท์มือถือก็เข้ามาทดแทนเพจเจอร์ และธุรกิจเพจเจอร์ก็ถึงกาลอวสาน
ตัวเลขในอนาคตที่นักวิเคราะห์ทำการประเมินมา มันแปรเปลี่ยนตลอดเวลาตามปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบกิจการเช่นกัน
นักวิเคราะห์ไม่ใช่ผู้บริหารกิจการนะครับ เขาจึงไม่รู้ลึกพอที่จะวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ และก็คงจะไม่มีผู้บริหารกิจการคนไหนเช่นกัน ที่จะบอกนักวิเคราะห์ว่า บริษัทเขากำลังจะย่ำแย่ ในทางตรงข้ามนักวิเคราะห์โดนผู้บริหารกิจการ หลอกเรื่อยแหละว่า กำไรจะดีขึ้น จะจ่ายเงินปันผลได้เพิ่มขึ้น
โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และราคาหุ้นจะแปรไปตามปัจจัยต่างๆที่กระทบต่อกิจการตลอดเวลา เร็วจนหมดเวลาที่จะมานั่งวิเคราะห์ตามตำรา แล้วคิดเองเออเองแล้วครับ อย่าลืมว่าสิ่งที่ท่านวิเคราะห์อยู่ มีเซียนหุ้น มีกองทุนต่างๆ วิเคราะห์ก่อนท่านหมดเกลี้ยงแล้ว แล้วถ้าเขายังไม่ใส่เงินเข้ามาซื้อ ท่านจะซื้อรออะไร
หุ้นที่ดีในอดีต อาจจะไม่ใช่หุ้นดีในวันนี้ และ หุ้นที่ดีในวันนี้ อาจจะเป็นหุ้นที่แย่ ในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ได้ใช่ไหมครับ
เก็บตำรา จับตาดูความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันดีที่สุดครับ รายใหญ่หรือกองทุนเขาวิเคราะห์มามากแล้วในทุกแง่ทุกมุม ก่อนที่จะขนเงินหลายสิบล้าน หรือ หลายร้อยล้านบาทมาลงทุนในหุ้นแต่ละตัว จนเกิด “สัญญาณซื้อ” ให้เราเห็น
แล้วทำไมเราจะต้องเสียเวลามาวิเคราะห์ถูกๆผิดๆเองล่ะครับ ในเมื่อเราสามารถเกาะกระแสเงินลงทุนของเขาขึ้นไปได้เลยภายในเวลาไม่นานนัก
อย่าผิดพลาดซ้ำๆ เหมือนกับที่ผมเคยทำมา
เอาตำราไปบริจาคห้องสมุด เถอะครับ
ที่มา : ThaiDayTrade
=======================================
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 2 Limit Loss ไม่เป็น เงินเย็นหายเกลี้ยง
http://pantip.com/topic/31313509
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 3 ยิ่งถูกยิ่งซื้อ ยิ่งซื้อยิ่งลง
http://pantip.com/topic/31313523
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 4 ยิ่งไม่กล้าเสี่ยง กลับยิ่งเสี่ยง
http://pantip.com/topic/31313546
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 5 วิ่งไปตามแนวโน้ม
http://pantip.com/topic/31318235
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 6 รู้เขารู้เรา
http://pantip.com/topic/31318368
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 7 เกาะไปกับ Fund Flow
http://pantip.com/topic/31320838
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 8 ขายหมูดีกว่าขายหมา น้ำลายหกดีกว่าน้ำตาตก
http://pantip.com/topic/31323093
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 9 ย้อนรอย วัฏจักรตลาดหุ้น
http://pantip.com/topic/31323096
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 10 กลวิธี ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ
http://pantip.com/topic/31328826
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 11 กลวิธี สวนควันปืน เล่นฝืนมวลชน
http://pantip.com/topic/31328847
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 12 กลวิธี สงครามกองโจร
http://pantip.com/topic/31328895
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 13 กลลวง ข่าวลือ
http://pantip.com/topic/31334298
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 14 กลโกงปั่นหุ้น
http://pantip.com/topic/31334405
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 15 รวยเรื้อรัง หันหลังให้คำว่าเจ๊ง
http://pantip.com/topic/31343092
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า ตอนที่ 16 วาทะรับน้อง
http://pantip.com/topic/31343158
ถอดรหัสลับตลาดหุ้น ตีแผ่จากห้องค้า บทส่งท้าย อย่าให้ใครมาขโมยความฝันของเราไป
http://pantip.com/topic/31351132
credit: http://pantip.com/topic/31313471
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558
คำถามที่ คนไม่มีพื้นฐานเรื่องหุ้นอยากถาม แต่อาจจะไม่กล้าถาม เลยไม่ได้เล่นหุ้นสักที
http://pantip.com/topic/33154825
กระทู้นี้ จะเป็นกระทู้ที่รวบรวมคำถาม ที่อาจจะฟังดูไร้สาระที่สุด ในมุมมองของคนที่เคยลงทุนในหุ้นมาแล้ว
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรู้ หรือไม่เคยศึกษาเรื่องหุ้นเลย มีแต่ ได้ยินคนโน้น คนนี้ พูดถึงการเล่นหุ้น
และก็รู้สึกสนใจ แต่ลึกๆแล้ว รู้ว่า จับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยถูก จะถามก็ไม่กล้า เพราะรู้สึกว่า ตัวเองไม่รู้พื้นฐานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับหุ้นเลย
ถามมากๆ เข้า ก็กลัวเพื่อนจะหาว่าโง่ ได้แต่เก็บคำถาม งงงวยนั้นไว้คนเดียว และคิดว่า วันหนึ่งค่อยมาศึกษา
และก็เป็นอย่างที่คิด ผ่านมา 3 ปี ก็ยังไม่ได้ไปศึกษาสักที พอได้ยินคนพูดมาที ก็ฮึดอยากศึกษาขึ้นมาที
พอเผลอ ก็เลิกศึกษาอีกละ ผมเลยลองรวบรวมคำถามที่คิดว่า คนที่ได้ยินคำว่า เล่นหุ้น ปุ๊ป จะเกิดคำถามขึ้นในใจ
แต่อาจไม่กล้าถามใครออกไป “จงแอบอ่าน แอบแชร์ แล้วเราจะหายโง่ไปด้วยกันครับ”
หมายเหตุ : ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารอาจจะดิบๆ ไปสักหน่อย และอาจไม่ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการ 100%
แต่คิดว่า น่าจะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้ว สามารถช่วยกันแก้ไข
เพิ่มเติมส่วนที่ตกหล่น หรือส่วนที่ผมพลาดไป จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หุ้นคืออะไร ?
ง่ายๆ เลย หุ้นคือ สิทธิการเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น ถ้าเราซื้อหุ้นของบริษัทไหนมา นั่นคือเราได้เป็นเจ้าของบริษัทนั้นแล้ว
ตามสัดส่วนที่เราซื้อหุ้นมา ถ้า ซื้อหุ้นมามาก ก็ได้สิทธิในการเป็นเจ้าของมาก ถ้าซื้อหุ้นมาน้อย ก็ได้สิทธิการเป็นเจ้าของน้อย
และ ถ้าบริษัทที่เราซื้อหุ้นมา กิจการเจริญรุ่งเรือง เติบโต เราก็รวยไปด้วย
แต่ถ้ากิจการมันขาดทุน เราก็เจ๊งไปกับมันด้วย
จะซื้อหุ้น ต้องใช้อะไรซื้อ ?
ต้องใช้เงินในการซื้อหุ้น
ถ้าเราใช้เงินซื้อหุ้นบริษัทใดๆไปเยอะ ก็เหมือนว่าเราไปร่วมลงทุนกับบริษัทนั้นๆเยอะ
เวลาบริษัทมีกำไร เราก็จะได้ส่วนแบ่งเยอะ แต่ถ้าเวลาบริษัทขาดทุน เราก็จะเสียเงินเยอะเช่นกัน
คำว่า เล่นหุ้น คืออะไร?
คำว่า เล่นหุ้น จะหมายถึง การซื้อหุ้น และ การขายหุ้น แต่ด้วยการที่หุ้นมันมีหลายตัวให้เลือกซื้อ มันจะมีการซื้อตัวโน้น ขายตัวนี้
มันเลยให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังเล่นกับมันอยู่ ตามจริงแล้ว ควรจะใช้คำว่า "การลงทุนในหุ้น" จะดูถูกต้องกว่า
เพราะการที่เราซื้อหุ้นมา มันคือการซื้อสิทธิการเป็นเจ้าของของบริษัทภายใต้หุ้นตัวนั้นอยู่ เหมือนเราไปร่วมลงทุนกับบริษัทนั้น
ถ้าวันใด เราขายหุ้นนั้นทิ้ง ก็เหมือนเราเลิกลงทุนกับบริษัทนั้นแล้ว
ตลาดหุ้น คืออะไร ?
ตลาดหุ้น คือ ตลาดที่มีไว้เพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ อยากซื้อหุ้นของบริษัทไหน ก็ต้องมาซื้อที่นี่
ซึ่งของประเทศไทย เรามีชื่อเรียกแบบเป็นทางการว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Stock Exchange of Thailand ย่อสั้นๆว่า SET
เพราะฉะนั้น เวลาดูข่าว เห็นเค้าพูดถึง SET กัน นั่นคือ พูดถึงตลาดหุ้นของประเทศไทยของเรานั่นเอง
มีตลาดหุ้นไว้ทำไม ?
เรามีตลาดหุ้น ไว้เพื่อระดมทุนให้กับบริษัทใดๆ เช่น สมมุติเราเปิดร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่ง วันดีคืนดี อยากจะขยายธุรกิจ
เปิดร้านกาแฟเพิ่มอีกสัก 10 ร้าน แต่เรามีเงินไม่พอ ครั้นจะไปกู้ธนาคาร ธนาคารก็เคี่ยว ถามโน้นถามนี่เยอะ คิดดอกเบี้ยก็แพง
และถ้าเราลงทุนขยายกิจการอยู่คนเดียว ถ้ามันไปได้ด้วยดี ก็ดีไป รวยคนเดียว ชิวๆ
แต่ถ้ามันเกิดไม่เป็นแบบที่เราคิด เราก็เป็นหนี้หัวโต อ้วกแตกอยู่คนเดียว
ด้วยเหตุนี้ จึงมีตลาดหุ้นขึ้นมา เพื่อที่เราจะสามารถนำเอาร้านกาแฟของเราไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น
และขายหุ้นร้านกาแฟของเรา ให้คนอื่นที่สนใจในแผนงานของเรา มาร่วมเป็นเจ้าของกับเรา
เราก็จะได้เงินจากคนที่มาขอร่วมเป็นเจ้าของ นำเงินนั้นไปขยายกิจการได้
ตลอดจนช่วยลดความเสี่ยงของเราเอง เพราะมีคนมาร่วมหัวจมท้ายด้วย
ตัวอักษรภาษาอังกฤษ สีเขียว สีแดง วิ่งๆบนหน้าจอ ทีวีด้านล่างคืออะไร ?
ตัวอักษรพวกนี้ คือ ชื่อตัวย่อของหุ้น เช่น หุ้นของ ธนาคารกรุงเทพ จะมาเขียน เต็มๆ มันก็ยาว
เค้าเลยย่อเป็นชื่อหุ้นว่า BBL
จำไว้เลยว่า ภายใต้ตัวอังษรภาษาอังกฤษพวกนี้ มีเบื้องหลังเป็นบริษัท
ส่วนสี เขียวๆ แดงๆ นี่คือ สีที่ทำให้เราดูการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้ง่ายขึ้น
สีเขียว คือ หุ้นตัวนั้น มีราคาแพงขึ้น เมื่อเทียบกับ ราคาเมื่อวาน หรือที่เรียกว่า หุ้นขึ้น
(คนที่ซื้อหุ้นไว้จะดีใจ เหมือนซื้อของมา แล้วเอาไปขายต่อได้แพงขึ้น)
สีแดง คือ หุ้นตัวนั้น มีราคาถูกลง เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน หรือที่เรียกว่า หุ้นลง
(คนที่ซื้อหุ้นไว้จะเสียใจ เหมือนซื้อของมา แล้วเอาไปขายต่อได้ถูกลง)
สีเหลือง คือ หุ้นตัวนั้น มีราคาเท่าเดิม เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
เวลาดูข่าว พูดถึง ดัชนีหุ้น 1600 จุด บวกขึ้นมา 40 จุด หรือบางวันก็บอกว่า ลบไป 20 จุด มันคืออะไร ?
ด้วยการที่หุ้นในตลาดหุ้นมีเยอะมาก 500 กว่าตัว เค้าก็เลย เอาราคาของแต่ละตัว มาคำนวนรวมกัน เป็นตัวเลขที่ไว้อ้างอิง เรียกว่า ดัชนี
เช่นเวลาบอกว่า วันนี้ ดัชนี บวก จะหมายความว่า หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมีราคาสูงขึ้น เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
ถ้าบอกว่า บวก แล้วตามด้วยตัวเลขเยอะๆ แสดงว่า หุ้นส่วนใหญ่ราคาขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
แต่ถ้าวันไหน ดัชนี ลบ คือหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาที่ถูกลง เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
ถ้าบอกว่า ลบ ตามด้วยตัวเลยน้อยๆ ก็แสดงว่า หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดราคาลดลงจากราคาเมื่อวาน แต่ลดลงไม่มากเท่าไหร่
***หมายเหตุ เวลาดัชนี เป็นบวก ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัว ราคาขึ้นหมดทุกตัวนะ
มันบอกได้แค่ว่า หุ้นส่วนใหญ่ในตลาด มันราคาขึ้น มันเลยคำนวนดัชนีออกมา แล้วได้เป็นเลขที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับดัชนีของเมื่อวาน
เวลาดัชนี เป็นลบก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่า ราคาหุ้นทุกตัวในตลาดลดลง แค่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมันลง มันเลยคำนวนออกมาได้เลขดัชนีที่ลดลง***
ทำไมต้องเล่นหุ้น ?
เล่นหุ้น คือการลงทุนหาดอกผลชนิดหนึ่ง เหมือนเราต้องการดอกเบี้ยจากการนำเงินไปฝากธนาคาร
เพียงแต่ การฝากธนาคาร ได้ผลตอบแทนน้อย เพราะมันไม่ค่อยเสี่ยง ถ้าธนาคารไม่เจ๊ง
แต่การเล่นหุ้น มันคือการไปร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทที่เราไปซื้อหุ้น ผลตอบแทนที่ได้ สามารถสูงกว่าฝากธนาคารหลายเท่า
แต่ถ้าบริษัทที่เราร่วมลงทุนมันเจ๊ง เราก็มีสิทธิที่จะเสียเงินลงทุนทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือ การเล่นหุ้น เป็นการลงทุน ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงมาก
แต่ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน คนจึงอยากเล่นหุ้น เพราะคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนสูงๆ และจะ "รวย"
โบรคเกอร์คืออะไร ?
เวลาเราจะซื้อหุ้นตัวใดก็ตาม ไม่ใช่ว่า จะเอาเงิน เดินไปที่บริษัทนั้นๆ หรือเดินไปที่ตลาดหลักทรัพย์ แล้วซื้อมาเลย
เราต้องมี ตัวกลางในการซื้อขายหุ้น นั่นคือบริษัทโบรคเกอร์ โบรคเกอร์คือตัวกลางในการซื้อขายหุ้นให้เรา
และเค้าก็จะได้ ผลตอบแทนจากเรา คือค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย รวมถึงบริษัทโบรคเกอร์จะทำหน้าที่ออกบทวิเคราะห์หุ้นตัวต่างๆ
เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าประกอบการตัดสินใจอีกด้วย
จะเล่นหุ้นด้วยตัวเอง ผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่มีโบรคเกอร์ ได้ไหม ?
ตอบว่า ไม่ได้ ยังไงก็แล้วแต่ เราต้องเป็นสมาชิกโบรคเกอร์ ถึงจะสามารถซื้อขายหุ้นได้
อีกคำหนึ่งที่ต้องรู้ คือ เจ้าหน้าที่การตลาด หรือ เรียกสั้นๆ ว่า มาร์ คืออะไร ?
อย่าสับสนคำศัพท์ โบรคเกอร์ คือบริษัทตัวกลาง ส่วนมาร์คือ คน
มาร์ เป็นลูกจ้างในบริษัทโบรคเกอร์ ที่ทำหน้าที่ ติดต่อกับ นักลงทุน ตั้งแต่การส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น จนถึงสิทธิประโยชนต่างๆ จากหุ้นที่เราถืออยู่
ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาให้นักลงทุนด้วย ตรงจุดนี้แหละ ที่จะมีนักลงทุนบอกว่า ต้องการเล่นหุ้นด้วยตนเอง และซื้อขายหุ้นเองผ่านอินเตอร์เน็ต
ไม่ต้องมีมาร์ได้ไหม ตามจริงแล้ว นักลงทุนทุกคนล้วนมีมาร์ดูแลทั้งสิ้น เพียงแต่ถ้าเราเล่นเองผ่านอินเตอร์เน็ต มาร์เค้าก็อาจจะไม่ได้โทรมายุ่งวุ่นวายอะไร แต่ยังไงก็แล้วแต่ จะมีมาร์ดูแลอยู่แล้ว
การซื้อหุ้นมีกี่วิธี ?
มี 2 วิธี คือ โทรหามาร์ ให้มาช่วยซื้อให้
กับ กดซื้อเองผ่านอินเตอร์เน็ต
*ทั้งสองวิธีนี้ จะได้หุ้นมาครบถ้วนตามที่สั่งเหมือนกัน
เพียงแต่ การโทรให้มาร์ช่วยซื้อให้ จะมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น ที่แพงกว่า การกดซื้อเองผ่านเน็ต
(เพราะมาร์จะต้องแบกรับความเสี่ยง ในกรณีที่คีย์คำสั่งผิด)*
จะเริ่มซื้อหุ้นต้องทำยังไง ?
ขั้นแรก ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นก่อน โดยต้องไปเปิดกับบริษัทโบรคเกอร์¨ ซึ่งในไทยมีบริษัทโบรคเกอร์มากมายหลายเจ้า
ส่วนใหญ่แล้ว บริการพื้นฐาน และค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้น จะเหมือนๆกัน
ซึ่งบัญชีสำหรับการซื้อขายหุ้น จะมีอยู่หลักๆ 3 ประเภท แต่เอาบัญชีที่ง่ายที่สุด สำหรับมือใหม่
เดินเข้าไปในโบรคเกอร์แล้วบอกเลย ว่า ขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบ Cash balance
ใช้เอกสารประกอบการเปิดบัญชีแค่ สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชี (book bank) เท่านั้น
บัญชีนี้ จะมีลักษณะคล้ายๆ บัญชีออมทรัพย์เลย คือพอเปิดเสร็จ จะได้เป็นบัญชีเปล่าๆ ที่สามารถใช้ในการซื้อขายหุ้นมา
และจะมาพร้อมกับ User name และ Password เพื่อใช้ในการ log in เข้าหน้าเว็ปไซด์ ของโบรคเกอร์ที่เราเปิดบัญชี
เพื่อเข้าไป อ่านข่าว ดูกราฟราคา อ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึง ส่งคำสั่ง ซื้อขายหุ้น
ซึ่งถ้าจะเริ่มซื้อหุ้นตอนไหน เราต้องโอนเงินเข้าไปในบัญชีซื้อขายหุ้นของเราก่อน โอนมาเท่าไหร่ จะซื้อขายหุ้นได้ตามจำนวนนั้น
ถ้าไม่โอนมา มันก็จะเป็นแค่บัญชีเปล่าๆ ที่ไว้ดูข้อมูลหุ้น แต่ไม่มีตังซื้อหุ้น
พอเรามีการขายหุ้น ได้กำไร หรือขาดทุน เงินคงเหลือจะค้างอยู่ใน บัญชีหุ้นของเรา
ถ้าอยากจะนำเงินออกมา ก็สามารถกดถอนตังได้ทางหน้าเว็ปไซด์ของโบรคเกอร์
และเงินก็จะวิ่งเข้า สมุดบัญชี ที่ให้ไว้ตอนเปิดบัญชีนั่นเอง
โปรแกรมซื้อขายหุ้น ดูยังไง ?
โปรแกรมซื้อขายหุ้นที่ นิยมใช้กันคือ Streaming สามารถ ใช้ได้ทั้งในมือถือ และ คอมพิวเตอร์
โปรแกรมนี้แหละ ที่จะใช้ในการซื้อขายหุ้น ตลอดจนดูราคาหุ้นทุกตัวในตลาดหุ้น
รวมถึงการดู ยอดเงินคงเหลือในบัญชีหุ้นของเรา และดูว่ามีหุ้นอะไรอยู่ในพอตเราบ้าง ตอนนี้กำไร และขาดทุนเท่าไหร่
แล้วซื้อหุ้นยังไง ?
อย่างที่บอกไป วิธีแรก คือการโทรหามาร์ บอกเลขบัญชี และชื่อของตัวเอง
จากนั้น บอกชื่อหุ้น ราคาหุ้นที่จะซื้อ จำนวนไป ก็จะสามารถซื้อหุ้นได้
แต่ถ้าต้องการซื้อหุ้นด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เน็ต ก็ต้องเข้าโปรแกรม Streaming
มันจะมีหน้าจอสำหรับซื้อขายหุ้น ถ้าเราต้องการซื้อหุ้นตัวใด เราต้องรู้ชื่อหุ้นนั้นๆ และ จะมันจะมีราคาตลาดบอกไว้ ว่าราคา ตัวละกี่บาท
โดยหุ้น เป็นอะไรที่มีสภาพคล่องสูง จะมีคนเสนอซื้อ และขายอยู่ตลอดเวลา เราสามารถซื้อได้เลย ตามราคาที่คนเสนอขาย
หรือถ้าเรามีหุ้นอยู่แล้ว เราก็สามารถขายได้เลย ตามราคาที่มีคนเสนอซื้อ
ต้องมีเงินเริ่มต้นกี่บาทในการ เปิดพอต ในการเล่นหุ้น มีขั้นต่ำไหม ?
ไม่มีขั้นต่ำ มีกี่บาทก็เล่นได้ เพราะหุ้นมีราคาตั้งแต่ หลักสตางค์ ไปจนถึงหลัก พัน
มีเงินน้อย ก็ซื้อได้น้อยตัว เวลาได้กำไรก็ได้น้อย เวลาขาดทุน ก็ขาดทุนน้อยแค่นั้นเอง
เล่นหุ้น จะได้เงินเมื่อไหร่ ?
การที่เราเข้าซื้อหุ้นมาแล้ว เราจะเหมือนว่าเราได้ ลงทุนในบริษัทนั้นแล้ว เราจะได้กำไร ก็ต่อเมื่อ
1. เราขายหุ้นนั้นไป ในราคาที่แพงกว่า ตอนเราซื้อมา ถ้าขายได้ถูกกว่าที่เราซื้อมา เราก็จะขาดทุน
(ถ้าหุ้นที่เราซื้อมา มีราคาสูงขึ้นกว่า ต้นทุนที่เราซื้อ แต่เรายังไม่ขายหุ้น มันก็จะเพียงแค่โชว์ว่าเรามีกำไรเท่าไหร่ให้เราเห็นเฉยๆ
จะได้กำไรจริงๆ ก็จะได้เมื่อขายหุ้นออกไปแล้วเท่านั้น)
2. ถ้าเรายังถือหุ้นตัวนั้นอยู่ และบริษัทมีกำไร ปีนึง ก็จะมีการจ่ายปันผล เราก็จะได้ส่วนแบ่งกำไรตรงนี้ ตามตามสัดส่วนหุ้นที่เราถืออยู่
ต่อ>>>>>>>>>
เล่นหุ้น เสี่ยงมั๊ย ?
เล่นหุ้น คือการไปร่วมลงทุนในธุรกิจต่างๆ ซึ่งถ้าเราไม่มีความรู้ในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว ก็จะเรียกว่า เสี่ยงมาก
ไม่ต่างอะไรกับการแทง น้ำเต้าปูปลาเลย แต่ความเสี่ยงสามารถควบคุมได้
ถ้าเราสามารถเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และวิเคราะห์หุ้นที่เราลงทุนได้
การเล่นหุ้น มีกี่แบบ และวิเคราะห์หุ้นยังไง ?
การเล่นหุ้นเนี่ย มันแบ่งง่ายๆ เป็น 2 แบบด้วยกัน
1. การเล่นหุ้นแบบ.....ลงทุน
2. การเล่นหุ้นแบบ.....เก็งกำไร
คนเรา พอพูดถึง เรื่องเล่นหุ้น จะคิดภาพไปเลยว่า ยิ้มต้องอยู่หน้าจอทั้งวัน ดูกราฟ ตัวเลขวิ่งๆ
ซื้อๆ ขายๆ หุ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามจริง ภาพแบบนั้น มันแค่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร (แบบที่ 2) ที่เค้าจะอาศัยการขึ้นลง ของราคาหุ้น
สร้างผลกำไร บางคนก็เก็งกำไรกันระยะสั้น เป็นรายนาที บ้างก็รายวัน (ซื้อๆ ขายๆ ภายในวัน)
บางคนก็อาจจะ ยาวเป็นเดือนก็มีเหมือนกัน
ยิ่งเล่นสั้นมากๆ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมาก
โดยส่วนตัวผมว่า การเล่นหุ้นสายนี้ ค่อนข้างยาก
เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนราคาของหุ้นในระยะสั้น เป็นเรื่องของข่าวสาร อารมณ์ของตลาด
และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ที่คาดเดาได้ยากมากๆ แต่มือใหม่ที่เข้ามาเล่น กลับคิดว่า วิธีนี้ยิ้มง่าย และรวยเร็ว
ส่งผลให้ขาดทุนในที่สุด
แต่มันก็มีนะ คนที่เค้าประสบความสำเร็วจากการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร
เค้าต้องเป็นคนที่ มีวินัย ต้องรู้จักการควบคุมความเสี่ยง จะเดิมพันก็ต่อเมื่อเค้ารู้สึกว่าเค้าได้เปรียบ
และในบางจังหวะ ที่เค้าคาดการณ์ผิดพลาด เค้าจะมีวินัยในการยอมขาดทุน แล้วหนีออกมา
ซึ่งถ้าใครชอบ แนวนี้ ต้องหัดวิเคราะห์ ศึกษา ที่ในวงการเค้าจะเรียกว่า "ปัจจัยทางเทคนิค"
จะเป็นพวกการศึกการเคลื่อนไหวของ กราฟราคาหุ้น ความสัมพันธ์ของปริมาณการซื้อขายต่างๆ
ลองไปหาหนังสืออ่านดู..........
กราฟๆ ที่เห็นคนเค้าดูกัน คืออะไร แล้วจะดูได้จากที่ไหน ?
มันคือการวิเคราะห์หุ้นแบบหนึ่ง ตามที่บอกไป เรียกว่า การวิเคราะห์หุ้นแบบใช้ปัจจัยทางเทคนิค
ซึ่งเดี๋ยวนี้ลอง google หา ก็จะมีโปรแกรมกราฟให้ใช้มากมาย แต่ถ้าชัวร์ๆ ก็เวลาเปิดพอตหุ้นกับโบรคเกอร์
เค้าจะมีบริการโปรแกรมกราฟให้เราใช้อยู่แล้ว
ส่วนการเล่นหุ้นอีกวิธี เรียกว่า การเล่นหุ้นแบบลงทุน วิธีนี้ จะเหมือนกับเราเอาเงินไปร่วมลงทุนกับเค้าเลย
แบบร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ระยะเวลาปานกลาง ถึง ยาวๆ เลย
ถ้าบริษัทมันมีกำไร เราก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย ถ้าบริษัทขาดทุน เราก็เจ๊งไปกับเค้าด้วย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นในวิธีนี้ คือ ผลกำไรของบริษัทที่เราร่วมลงทุน
ส่งผลให้ การเล่นหุ้นในวิธีนี้ มันจะต้องใช้เวลา เพราะผลกำไรของบริษัทมันไม่สามารถแสดงออกมาได้
ภายใน หนึ่งวัน หรือ สองวัน ส่วนใหญ่จะใช้เวลากันเป็นปี ภาพการเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ ก็จะเปลี่ยนไป
เราไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ดูราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงทุกวันอีกต่อไป ภาพมันจะกลายเป็น
การนั่งวิเคราะห์ธุรกิจ การอ่านงบการเงิน การวิเคราะห์การเติบโตของบริษัท
รวมไปถึงการลองไปใช้บริการของบริษัทที่เราลงทุน อะไรทำนองนี้ ซึ่งแนวทางนี้
สามารถศึกษาได้จาก "การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน"
มีหนังสือให้อ่านเช่นกัน.............
มันตอบไม่ได้นะ ว่า วิธีไหนดีกว่ากัน ไม่ว่าทางไหน มันสามารถประสบความสำเร็จได้เสมอ
และมันก็สามารถหมดตัวได้เหมือนกัน มันอยู่ที่คุณ จะศึกษา และทุ่มเท กับมันเพียงใด
"ไม่มีรวยเร็ว และอะไรที่ได้มาง่ายๆ ในถนนสายนี้"
นึกคำถามไม่ออกแล้ว ยังไงมีคำถามก็พิมพ์ทิ้งไว้กันได้เลยครับ
อันไหนตอบได้ ก็จะมาตอบให้ครับ
จบแล้ว
ออกตัวก่อนว่า ผมทำงานในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ผมมีรายได้จากการที่ลูกค้า ซื้อขายหุ้นนี่แหละ
แต่ที่ผมมาเขียนนี่ ก็ไม่ได้จะมาหวังผลประโยชน์อะไร เพราะมือใหม่ๆ เนี่ย
เทรดหมื่นนึง ผมจะได้ ค่าคอมมิชชั่นประมาณ 2 บาทถ้วนเห็นจะได้ ฮ่าๆๆ ยังไม่คุ้มค่าไฟเลย
แต่ที่มาเขียนก็อยากให้คนที่สนใจ กับคำว่าเล่นหุ้นอยู่ ได้พอมีอะไรพื้นฐานติดไปบ้าง ก่อนจะไปหาหนังสืออะไรอ่าน ต่อยอดต่อไป
ส่วนใครที่ยังไม่เคยศึกษาด้านการลงทุนในหุ้นเลย แล้วอยู่ดีดี จะมาซื้อหุ้นเลย
ผมก็ขอบอกให้คุณกลับไปศึกษาก่อน หาหนังสืออ่าน
เพราะการเข้ามาเล่นหุ้นแบบไม่รู้อะไร มักจะกลับออกไปแบบไม่เหลืออะไร
ส่วนใครจะมาขอหุ้นเด็ด หุ้นดี ผมก็ไม่มีเหมือนกัน
คิดหลักง่ายๆ ถ้าผมมีหุ้นเด็ด ผมก็เล่นเองอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว
ที่มีให้ได้ก็น่าจะเป็น แนวคิดการมองตลาดหุ้นไม่ให้เหมือนการพนัน
คอยเตือนให้มีสติ ส่วนการตัดสินใจทุกอย่าง ก็เป็นของ ทุกคนเองเท่านั้น เพราะเงินใครก็เงินมัน
ผมไม่ได้คาดหวังว่า จะมีคนมา เทรด ซื้อขายหุ้นเยอะๆ แล้วธุรกิจที่ผมอยู่จะรุ่งเรือง
ผมเห็นมาแล้ว พวกมาเทรดเยอะๆ แต่เทรดแบบการพนัน สุดท้ายก็เลิกเล่นไป
ผมอยากให้เมื่อใหม่ทุกคนมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้น เล่นหุ้น แบบลงทุนจริงๆ
และอยู่รอดในถนนสายนี้กับมันไปนานๆ
เพราะถ้าคุณอยู่รอดกับมันได้นานเท่าไหร่ คุณก็จะรวยเท่านั้น
ขอให้ทุกคนโชคดี
ใครมีอะไรเพิ่มเติม ก็ตามมาคุยกันได้ในเฟสบุคนะครับ
ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 6-3
1. หุ้นที่ซื้อขายกัน มาจาก เจ้าของบริษัทเอามาแบ่งขายครับ ที่เค้าเอามาแบ่งขายเพราะ
เค้าอยากได้เงิน เพื่อเอาไปขยายธุรกิจครับ หรือไม่ก็ไปใช้หนี้ และเค้าก็ยังกระจายความเสี่ยง มีผู้มาร่วมชะตากรรมด้วย อะไรแบบนี้
อย่างไรก็แล้วแต่ เค้าก็ยังถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ เพื่อที่ยังมีอำนาจในการบริหารเต็มครับ
2. ใครเป็นคนกำหนดราคาหุ้น
ตอนแรกก่อน ที่เจ้าของบริษัทจะเอาหุ้นมาแบ่งขาย จะมีนักการเงินช่วยกันคำนวน มูลค่าที่เหมาะสมคับ
ส่วนใหญ่จะ ประมานการว่า ในอนาคตบริษัทนี้จะทำ รายได้ ได้เท่าไหร่ แล้วก็คิดกลับมาเป็นราคาในปัจจุบัน อะไรประมาณนี้ครับ
แต่ วันที่หุ้น ถูกขาย ไปให้คนที่สนใจมาซื้อแล้ว ตะนี้ราคาจะขึ้นตามความต้องการ ของคนที่ถือหุ้นอยู่ กับคนที่อยากได้หุ้นครับ
ถ้าหุ้นมันดี นั่นคือบริษัทมีการเติบโตหรือกำไรที่ดี คนก็จะมาแย่งกันซื้อ ราคาก็จะขึ้นครับ
แต่ถ้าบริษัทนับวันยิ่งแย่ลง คนก็ไม่ค่อยอยากจะถือหุ้นแล้ว ราคามันก็จะลงครับ
3.ทำไมซื้อขายกันแล้วไม่หมด
คือหุ้นมันมีเยอะมากคับ และคนที่เข้ามาซื้อขายเปลี่ยนมือ ก็เยอะมากๆ
แต่ถ้าสมมุติ ทุกคนคิดว่าหุ้นที่ตัวเองถือ เป็นหุ้นที่ดีมากๆ มันก็มีโอกาสที่ หุ้นจะหมดได้นะคับ ก็คือ ไม่มีคนขายหุ้นออกมานั่นเอง
แต่ในความเป็นจริง ความคิดเห็นของคนจะไม่ตรงกัน
บางคนบอกหุ้นตัวนี้ดีมาก ไม่ยอมขายออกมา แต่พอราคาขึ้นไปมากๆ ก็อาจจะเปลี่ยนใจขาย
บางคนอาจจะต้องการใช้ตังในช่วงนั้น อาจจำเป็นต้องขายหุ้นออกมา
บางคนมองแค่เข้ามาเก็งกำไร พอราคาหุ้นขึ้นไป นิดหน่อย ก็จะขายแล้ว
อะไรแบบนี้คับ มันเลยทำให้หุ้น มีการหมุนเวียน เปลี่ยนมือ มีคนรอซื้อ มีคนรอขาย กันตลอดเวลาคับ
เรียกว่า หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ
4. ราคาในแต่ละวันที่แสดงในตลาดหุ้น จะเป็นราคาที่ มีคนต้องการเสนอขาย และมีคนต้องการรอซื้อคับ
มันถูกควบคุม โดยกลไกตลาด
ถ้าหุ้นนั้นมันเป็นหุ้นไม่ดี แต่มีคนเสนอขายแพงๆ ก็จะไม่มีคนไปซื้อ คนคนนั้นก็จะขายไม่ได้ ราคานั้นก็จะไม่เป็นราคาตลาด
จนกว่าจะมีสักคนนึง มาเสนอขายในราคาใหม่ ที่มีคนยอมซื้อ
ราคานั้นก็เป็นราคาตลาดคับ
การที่คนยอมขายต่ำกว่าราคา หรือ บางคนขายสูงกว่า เพราะแต่ละคนมองถึงอนาคตไม่เหมือนกันคับ
กระทู้นี้ จะเป็นกระทู้ที่รวบรวมคำถาม ที่อาจจะฟังดูไร้สาระที่สุด ในมุมมองของคนที่เคยลงทุนในหุ้นมาแล้ว
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรู้ หรือไม่เคยศึกษาเรื่องหุ้นเลย มีแต่ ได้ยินคนโน้น คนนี้ พูดถึงการเล่นหุ้น
และก็รู้สึกสนใจ แต่ลึกๆแล้ว รู้ว่า จับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยถูก จะถามก็ไม่กล้า เพราะรู้สึกว่า ตัวเองไม่รู้พื้นฐานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับหุ้นเลย
ถามมากๆ เข้า ก็กลัวเพื่อนจะหาว่าโง่ ได้แต่เก็บคำถาม งงงวยนั้นไว้คนเดียว และคิดว่า วันหนึ่งค่อยมาศึกษา
และก็เป็นอย่างที่คิด ผ่านมา 3 ปี ก็ยังไม่ได้ไปศึกษาสักที พอได้ยินคนพูดมาที ก็ฮึดอยากศึกษาขึ้นมาที
พอเผลอ ก็เลิกศึกษาอีกละ ผมเลยลองรวบรวมคำถามที่คิดว่า คนที่ได้ยินคำว่า เล่นหุ้น ปุ๊ป จะเกิดคำถามขึ้นในใจ
แต่อาจไม่กล้าถามใครออกไป “จงแอบอ่าน แอบแชร์ แล้วเราจะหายโง่ไปด้วยกันครับ”
หมายเหตุ : ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารอาจจะดิบๆ ไปสักหน่อย และอาจไม่ได้ถูกต้องตามหลักวิชาการ 100%
แต่คิดว่า น่าจะง่ายต่อการทำความเข้าใจ ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้ว สามารถช่วยกันแก้ไข
เพิ่มเติมส่วนที่ตกหล่น หรือส่วนที่ผมพลาดไป จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หุ้นคืออะไร ?
ง่ายๆ เลย หุ้นคือ สิทธิการเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น ถ้าเราซื้อหุ้นของบริษัทไหนมา นั่นคือเราได้เป็นเจ้าของบริษัทนั้นแล้ว
ตามสัดส่วนที่เราซื้อหุ้นมา ถ้า ซื้อหุ้นมามาก ก็ได้สิทธิในการเป็นเจ้าของมาก ถ้าซื้อหุ้นมาน้อย ก็ได้สิทธิการเป็นเจ้าของน้อย
และ ถ้าบริษัทที่เราซื้อหุ้นมา กิจการเจริญรุ่งเรือง เติบโต เราก็รวยไปด้วย
แต่ถ้ากิจการมันขาดทุน เราก็เจ๊งไปกับมันด้วย
จะซื้อหุ้น ต้องใช้อะไรซื้อ ?
ต้องใช้เงินในการซื้อหุ้น
ถ้าเราใช้เงินซื้อหุ้นบริษัทใดๆไปเยอะ ก็เหมือนว่าเราไปร่วมลงทุนกับบริษัทนั้นๆเยอะ
เวลาบริษัทมีกำไร เราก็จะได้ส่วนแบ่งเยอะ แต่ถ้าเวลาบริษัทขาดทุน เราก็จะเสียเงินเยอะเช่นกัน
คำว่า เล่นหุ้น คืออะไร?
คำว่า เล่นหุ้น จะหมายถึง การซื้อหุ้น และ การขายหุ้น แต่ด้วยการที่หุ้นมันมีหลายตัวให้เลือกซื้อ มันจะมีการซื้อตัวโน้น ขายตัวนี้
มันเลยให้ความรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังเล่นกับมันอยู่ ตามจริงแล้ว ควรจะใช้คำว่า "การลงทุนในหุ้น" จะดูถูกต้องกว่า
เพราะการที่เราซื้อหุ้นมา มันคือการซื้อสิทธิการเป็นเจ้าของของบริษัทภายใต้หุ้นตัวนั้นอยู่ เหมือนเราไปร่วมลงทุนกับบริษัทนั้น
ถ้าวันใด เราขายหุ้นนั้นทิ้ง ก็เหมือนเราเลิกลงทุนกับบริษัทนั้นแล้ว
ตลาดหุ้น คืออะไร ?
ตลาดหุ้น คือ ตลาดที่มีไว้เพื่อซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างๆ อยากซื้อหุ้นของบริษัทไหน ก็ต้องมาซื้อที่นี่
ซึ่งของประเทศไทย เรามีชื่อเรียกแบบเป็นทางการว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า "The Stock Exchange of Thailand ย่อสั้นๆว่า SET
เพราะฉะนั้น เวลาดูข่าว เห็นเค้าพูดถึง SET กัน นั่นคือ พูดถึงตลาดหุ้นของประเทศไทยของเรานั่นเอง
มีตลาดหุ้นไว้ทำไม ?
เรามีตลาดหุ้น ไว้เพื่อระดมทุนให้กับบริษัทใดๆ เช่น สมมุติเราเปิดร้านกาแฟอยู่ร้านหนึ่ง วันดีคืนดี อยากจะขยายธุรกิจ
เปิดร้านกาแฟเพิ่มอีกสัก 10 ร้าน แต่เรามีเงินไม่พอ ครั้นจะไปกู้ธนาคาร ธนาคารก็เคี่ยว ถามโน้นถามนี่เยอะ คิดดอกเบี้ยก็แพง
และถ้าเราลงทุนขยายกิจการอยู่คนเดียว ถ้ามันไปได้ด้วยดี ก็ดีไป รวยคนเดียว ชิวๆ
แต่ถ้ามันเกิดไม่เป็นแบบที่เราคิด เราก็เป็นหนี้หัวโต อ้วกแตกอยู่คนเดียว
ด้วยเหตุนี้ จึงมีตลาดหุ้นขึ้นมา เพื่อที่เราจะสามารถนำเอาร้านกาแฟของเราไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น
และขายหุ้นร้านกาแฟของเรา ให้คนอื่นที่สนใจในแผนงานของเรา มาร่วมเป็นเจ้าของกับเรา
เราก็จะได้เงินจากคนที่มาขอร่วมเป็นเจ้าของ นำเงินนั้นไปขยายกิจการได้
ตลอดจนช่วยลดความเสี่ยงของเราเอง เพราะมีคนมาร่วมหัวจมท้ายด้วย
ตัวอักษรภาษาอังกฤษ สีเขียว สีแดง วิ่งๆบนหน้าจอ ทีวีด้านล่างคืออะไร ?
ตัวอักษรพวกนี้ คือ ชื่อตัวย่อของหุ้น เช่น หุ้นของ ธนาคารกรุงเทพ จะมาเขียน เต็มๆ มันก็ยาว
เค้าเลยย่อเป็นชื่อหุ้นว่า BBL
จำไว้เลยว่า ภายใต้ตัวอังษรภาษาอังกฤษพวกนี้ มีเบื้องหลังเป็นบริษัท
ส่วนสี เขียวๆ แดงๆ นี่คือ สีที่ทำให้เราดูการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้ง่ายขึ้น
สีเขียว คือ หุ้นตัวนั้น มีราคาแพงขึ้น เมื่อเทียบกับ ราคาเมื่อวาน หรือที่เรียกว่า หุ้นขึ้น
(คนที่ซื้อหุ้นไว้จะดีใจ เหมือนซื้อของมา แล้วเอาไปขายต่อได้แพงขึ้น)
สีแดง คือ หุ้นตัวนั้น มีราคาถูกลง เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน หรือที่เรียกว่า หุ้นลง
(คนที่ซื้อหุ้นไว้จะเสียใจ เหมือนซื้อของมา แล้วเอาไปขายต่อได้ถูกลง)
สีเหลือง คือ หุ้นตัวนั้น มีราคาเท่าเดิม เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
เวลาดูข่าว พูดถึง ดัชนีหุ้น 1600 จุด บวกขึ้นมา 40 จุด หรือบางวันก็บอกว่า ลบไป 20 จุด มันคืออะไร ?
ด้วยการที่หุ้นในตลาดหุ้นมีเยอะมาก 500 กว่าตัว เค้าก็เลย เอาราคาของแต่ละตัว มาคำนวนรวมกัน เป็นตัวเลขที่ไว้อ้างอิง เรียกว่า ดัชนี
เช่นเวลาบอกว่า วันนี้ ดัชนี บวก จะหมายความว่า หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมีราคาสูงขึ้น เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
ถ้าบอกว่า บวก แล้วตามด้วยตัวเลขเยอะๆ แสดงว่า หุ้นส่วนใหญ่ราคาขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
แต่ถ้าวันไหน ดัชนี ลบ คือหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาที่ถูกลง เมื่อเทียบกับราคาเมื่อวาน
ถ้าบอกว่า ลบ ตามด้วยตัวเลยน้อยๆ ก็แสดงว่า หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดราคาลดลงจากราคาเมื่อวาน แต่ลดลงไม่มากเท่าไหร่
***หมายเหตุ เวลาดัชนี เป็นบวก ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นทุกตัว ราคาขึ้นหมดทุกตัวนะ
มันบอกได้แค่ว่า หุ้นส่วนใหญ่ในตลาด มันราคาขึ้น มันเลยคำนวนดัชนีออกมา แล้วได้เป็นเลขที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับดัชนีของเมื่อวาน
เวลาดัชนี เป็นลบก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่า ราคาหุ้นทุกตัวในตลาดลดลง แค่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมันลง มันเลยคำนวนออกมาได้เลขดัชนีที่ลดลง***
ทำไมต้องเล่นหุ้น ?
เล่นหุ้น คือการลงทุนหาดอกผลชนิดหนึ่ง เหมือนเราต้องการดอกเบี้ยจากการนำเงินไปฝากธนาคาร
เพียงแต่ การฝากธนาคาร ได้ผลตอบแทนน้อย เพราะมันไม่ค่อยเสี่ยง ถ้าธนาคารไม่เจ๊ง
แต่การเล่นหุ้น มันคือการไปร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทที่เราไปซื้อหุ้น ผลตอบแทนที่ได้ สามารถสูงกว่าฝากธนาคารหลายเท่า
แต่ถ้าบริษัทที่เราร่วมลงทุนมันเจ๊ง เราก็มีสิทธิที่จะเสียเงินลงทุนทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือ การเล่นหุ้น เป็นการลงทุน ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงมาก
แต่ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน คนจึงอยากเล่นหุ้น เพราะคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนสูงๆ และจะ "รวย"
โบรคเกอร์คืออะไร ?
เวลาเราจะซื้อหุ้นตัวใดก็ตาม ไม่ใช่ว่า จะเอาเงิน เดินไปที่บริษัทนั้นๆ หรือเดินไปที่ตลาดหลักทรัพย์ แล้วซื้อมาเลย
เราต้องมี ตัวกลางในการซื้อขายหุ้น นั่นคือบริษัทโบรคเกอร์ โบรคเกอร์คือตัวกลางในการซื้อขายหุ้นให้เรา
และเค้าก็จะได้ ผลตอบแทนจากเรา คือค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย รวมถึงบริษัทโบรคเกอร์จะทำหน้าที่ออกบทวิเคราะห์หุ้นตัวต่างๆ
เพื่อเป็นข้อมูลให้ลูกค้าประกอบการตัดสินใจอีกด้วย
จะเล่นหุ้นด้วยตัวเอง ผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่มีโบรคเกอร์ ได้ไหม ?
ตอบว่า ไม่ได้ ยังไงก็แล้วแต่ เราต้องเป็นสมาชิกโบรคเกอร์ ถึงจะสามารถซื้อขายหุ้นได้
อีกคำหนึ่งที่ต้องรู้ คือ เจ้าหน้าที่การตลาด หรือ เรียกสั้นๆ ว่า มาร์ คืออะไร ?
อย่าสับสนคำศัพท์ โบรคเกอร์ คือบริษัทตัวกลาง ส่วนมาร์คือ คน
มาร์ เป็นลูกจ้างในบริษัทโบรคเกอร์ ที่ทำหน้าที่ ติดต่อกับ นักลงทุน ตั้งแต่การส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น จนถึงสิทธิประโยชนต่างๆ จากหุ้นที่เราถืออยู่
ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาให้นักลงทุนด้วย ตรงจุดนี้แหละ ที่จะมีนักลงทุนบอกว่า ต้องการเล่นหุ้นด้วยตนเอง และซื้อขายหุ้นเองผ่านอินเตอร์เน็ต
ไม่ต้องมีมาร์ได้ไหม ตามจริงแล้ว นักลงทุนทุกคนล้วนมีมาร์ดูแลทั้งสิ้น เพียงแต่ถ้าเราเล่นเองผ่านอินเตอร์เน็ต มาร์เค้าก็อาจจะไม่ได้โทรมายุ่งวุ่นวายอะไร แต่ยังไงก็แล้วแต่ จะมีมาร์ดูแลอยู่แล้ว
การซื้อหุ้นมีกี่วิธี ?
มี 2 วิธี คือ โทรหามาร์ ให้มาช่วยซื้อให้
กับ กดซื้อเองผ่านอินเตอร์เน็ต
*ทั้งสองวิธีนี้ จะได้หุ้นมาครบถ้วนตามที่สั่งเหมือนกัน
เพียงแต่ การโทรให้มาร์ช่วยซื้อให้ จะมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น ที่แพงกว่า การกดซื้อเองผ่านเน็ต
(เพราะมาร์จะต้องแบกรับความเสี่ยง ในกรณีที่คีย์คำสั่งผิด)*
จะเริ่มซื้อหุ้นต้องทำยังไง ?
ขั้นแรก ต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นก่อน โดยต้องไปเปิดกับบริษัทโบรคเกอร์¨ ซึ่งในไทยมีบริษัทโบรคเกอร์มากมายหลายเจ้า
ส่วนใหญ่แล้ว บริการพื้นฐาน และค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้น จะเหมือนๆกัน
ซึ่งบัญชีสำหรับการซื้อขายหุ้น จะมีอยู่หลักๆ 3 ประเภท แต่เอาบัญชีที่ง่ายที่สุด สำหรับมือใหม่
เดินเข้าไปในโบรคเกอร์แล้วบอกเลย ว่า ขอเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นแบบ Cash balance
ใช้เอกสารประกอบการเปิดบัญชีแค่ สำเนาบัตรประชาชน และสำเนาหน้าแรกของสมุดบัญชี (book bank) เท่านั้น
บัญชีนี้ จะมีลักษณะคล้ายๆ บัญชีออมทรัพย์เลย คือพอเปิดเสร็จ จะได้เป็นบัญชีเปล่าๆ ที่สามารถใช้ในการซื้อขายหุ้นมา
และจะมาพร้อมกับ User name และ Password เพื่อใช้ในการ log in เข้าหน้าเว็ปไซด์ ของโบรคเกอร์ที่เราเปิดบัญชี
เพื่อเข้าไป อ่านข่าว ดูกราฟราคา อ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึง ส่งคำสั่ง ซื้อขายหุ้น
ซึ่งถ้าจะเริ่มซื้อหุ้นตอนไหน เราต้องโอนเงินเข้าไปในบัญชีซื้อขายหุ้นของเราก่อน โอนมาเท่าไหร่ จะซื้อขายหุ้นได้ตามจำนวนนั้น
ถ้าไม่โอนมา มันก็จะเป็นแค่บัญชีเปล่าๆ ที่ไว้ดูข้อมูลหุ้น แต่ไม่มีตังซื้อหุ้น
พอเรามีการขายหุ้น ได้กำไร หรือขาดทุน เงินคงเหลือจะค้างอยู่ใน บัญชีหุ้นของเรา
ถ้าอยากจะนำเงินออกมา ก็สามารถกดถอนตังได้ทางหน้าเว็ปไซด์ของโบรคเกอร์
และเงินก็จะวิ่งเข้า สมุดบัญชี ที่ให้ไว้ตอนเปิดบัญชีนั่นเอง
โปรแกรมซื้อขายหุ้น ดูยังไง ?
โปรแกรมซื้อขายหุ้นที่ นิยมใช้กันคือ Streaming สามารถ ใช้ได้ทั้งในมือถือ และ คอมพิวเตอร์
โปรแกรมนี้แหละ ที่จะใช้ในการซื้อขายหุ้น ตลอดจนดูราคาหุ้นทุกตัวในตลาดหุ้น
รวมถึงการดู ยอดเงินคงเหลือในบัญชีหุ้นของเรา และดูว่ามีหุ้นอะไรอยู่ในพอตเราบ้าง ตอนนี้กำไร และขาดทุนเท่าไหร่
แล้วซื้อหุ้นยังไง ?
อย่างที่บอกไป วิธีแรก คือการโทรหามาร์ บอกเลขบัญชี และชื่อของตัวเอง
จากนั้น บอกชื่อหุ้น ราคาหุ้นที่จะซื้อ จำนวนไป ก็จะสามารถซื้อหุ้นได้
แต่ถ้าต้องการซื้อหุ้นด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เน็ต ก็ต้องเข้าโปรแกรม Streaming
มันจะมีหน้าจอสำหรับซื้อขายหุ้น ถ้าเราต้องการซื้อหุ้นตัวใด เราต้องรู้ชื่อหุ้นนั้นๆ และ จะมันจะมีราคาตลาดบอกไว้ ว่าราคา ตัวละกี่บาท
โดยหุ้น เป็นอะไรที่มีสภาพคล่องสูง จะมีคนเสนอซื้อ และขายอยู่ตลอดเวลา เราสามารถซื้อได้เลย ตามราคาที่คนเสนอขาย
หรือถ้าเรามีหุ้นอยู่แล้ว เราก็สามารถขายได้เลย ตามราคาที่มีคนเสนอซื้อ
ต้องมีเงินเริ่มต้นกี่บาทในการ เปิดพอต ในการเล่นหุ้น มีขั้นต่ำไหม ?
ไม่มีขั้นต่ำ มีกี่บาทก็เล่นได้ เพราะหุ้นมีราคาตั้งแต่ หลักสตางค์ ไปจนถึงหลัก พัน
มีเงินน้อย ก็ซื้อได้น้อยตัว เวลาได้กำไรก็ได้น้อย เวลาขาดทุน ก็ขาดทุนน้อยแค่นั้นเอง
เล่นหุ้น จะได้เงินเมื่อไหร่ ?
การที่เราเข้าซื้อหุ้นมาแล้ว เราจะเหมือนว่าเราได้ ลงทุนในบริษัทนั้นแล้ว เราจะได้กำไร ก็ต่อเมื่อ
1. เราขายหุ้นนั้นไป ในราคาที่แพงกว่า ตอนเราซื้อมา ถ้าขายได้ถูกกว่าที่เราซื้อมา เราก็จะขาดทุน
(ถ้าหุ้นที่เราซื้อมา มีราคาสูงขึ้นกว่า ต้นทุนที่เราซื้อ แต่เรายังไม่ขายหุ้น มันก็จะเพียงแค่โชว์ว่าเรามีกำไรเท่าไหร่ให้เราเห็นเฉยๆ
จะได้กำไรจริงๆ ก็จะได้เมื่อขายหุ้นออกไปแล้วเท่านั้น)
2. ถ้าเรายังถือหุ้นตัวนั้นอยู่ และบริษัทมีกำไร ปีนึง ก็จะมีการจ่ายปันผล เราก็จะได้ส่วนแบ่งกำไรตรงนี้ ตามตามสัดส่วนหุ้นที่เราถืออยู่
ต่อ>>>>>>>>>
เล่นหุ้น เสี่ยงมั๊ย ?
เล่นหุ้น คือการไปร่วมลงทุนในธุรกิจต่างๆ ซึ่งถ้าเราไม่มีความรู้ในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว ก็จะเรียกว่า เสี่ยงมาก
ไม่ต่างอะไรกับการแทง น้ำเต้าปูปลาเลย แต่ความเสี่ยงสามารถควบคุมได้
ถ้าเราสามารถเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และวิเคราะห์หุ้นที่เราลงทุนได้
การเล่นหุ้น มีกี่แบบ และวิเคราะห์หุ้นยังไง ?
การเล่นหุ้นเนี่ย มันแบ่งง่ายๆ เป็น 2 แบบด้วยกัน
1. การเล่นหุ้นแบบ.....ลงทุน
2. การเล่นหุ้นแบบ.....เก็งกำไร
คนเรา พอพูดถึง เรื่องเล่นหุ้น จะคิดภาพไปเลยว่า ยิ้มต้องอยู่หน้าจอทั้งวัน ดูกราฟ ตัวเลขวิ่งๆ
ซื้อๆ ขายๆ หุ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งตามจริง ภาพแบบนั้น มันแค่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นส่วนหนึ่งของการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร (แบบที่ 2) ที่เค้าจะอาศัยการขึ้นลง ของราคาหุ้น
สร้างผลกำไร บางคนก็เก็งกำไรกันระยะสั้น เป็นรายนาที บ้างก็รายวัน (ซื้อๆ ขายๆ ภายในวัน)
บางคนก็อาจจะ ยาวเป็นเดือนก็มีเหมือนกัน
ยิ่งเล่นสั้นมากๆ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมาก
โดยส่วนตัวผมว่า การเล่นหุ้นสายนี้ ค่อนข้างยาก
เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนราคาของหุ้นในระยะสั้น เป็นเรื่องของข่าวสาร อารมณ์ของตลาด
และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ที่คาดเดาได้ยากมากๆ แต่มือใหม่ที่เข้ามาเล่น กลับคิดว่า วิธีนี้ยิ้มง่าย และรวยเร็ว
ส่งผลให้ขาดทุนในที่สุด
แต่มันก็มีนะ คนที่เค้าประสบความสำเร็วจากการเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร
เค้าต้องเป็นคนที่ มีวินัย ต้องรู้จักการควบคุมความเสี่ยง จะเดิมพันก็ต่อเมื่อเค้ารู้สึกว่าเค้าได้เปรียบ
และในบางจังหวะ ที่เค้าคาดการณ์ผิดพลาด เค้าจะมีวินัยในการยอมขาดทุน แล้วหนีออกมา
ซึ่งถ้าใครชอบ แนวนี้ ต้องหัดวิเคราะห์ ศึกษา ที่ในวงการเค้าจะเรียกว่า "ปัจจัยทางเทคนิค"
จะเป็นพวกการศึกการเคลื่อนไหวของ กราฟราคาหุ้น ความสัมพันธ์ของปริมาณการซื้อขายต่างๆ
ลองไปหาหนังสืออ่านดู..........
กราฟๆ ที่เห็นคนเค้าดูกัน คืออะไร แล้วจะดูได้จากที่ไหน ?
มันคือการวิเคราะห์หุ้นแบบหนึ่ง ตามที่บอกไป เรียกว่า การวิเคราะห์หุ้นแบบใช้ปัจจัยทางเทคนิค
ซึ่งเดี๋ยวนี้ลอง google หา ก็จะมีโปรแกรมกราฟให้ใช้มากมาย แต่ถ้าชัวร์ๆ ก็เวลาเปิดพอตหุ้นกับโบรคเกอร์
เค้าจะมีบริการโปรแกรมกราฟให้เราใช้อยู่แล้ว
ส่วนการเล่นหุ้นอีกวิธี เรียกว่า การเล่นหุ้นแบบลงทุน วิธีนี้ จะเหมือนกับเราเอาเงินไปร่วมลงทุนกับเค้าเลย
แบบร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ระยะเวลาปานกลาง ถึง ยาวๆ เลย
ถ้าบริษัทมันมีกำไร เราก็ได้ผลประโยชน์ไปด้วย ถ้าบริษัทขาดทุน เราก็เจ๊งไปกับเค้าด้วย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นในวิธีนี้ คือ ผลกำไรของบริษัทที่เราร่วมลงทุน
ส่งผลให้ การเล่นหุ้นในวิธีนี้ มันจะต้องใช้เวลา เพราะผลกำไรของบริษัทมันไม่สามารถแสดงออกมาได้
ภายใน หนึ่งวัน หรือ สองวัน ส่วนใหญ่จะใช้เวลากันเป็นปี ภาพการเล่นหุ้นด้วยวิธีนี้ ก็จะเปลี่ยนไป
เราไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าหน้าจอ ดูราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงทุกวันอีกต่อไป ภาพมันจะกลายเป็น
การนั่งวิเคราะห์ธุรกิจ การอ่านงบการเงิน การวิเคราะห์การเติบโตของบริษัท
รวมไปถึงการลองไปใช้บริการของบริษัทที่เราลงทุน อะไรทำนองนี้ ซึ่งแนวทางนี้
สามารถศึกษาได้จาก "การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน"
มีหนังสือให้อ่านเช่นกัน.............
มันตอบไม่ได้นะ ว่า วิธีไหนดีกว่ากัน ไม่ว่าทางไหน มันสามารถประสบความสำเร็จได้เสมอ
และมันก็สามารถหมดตัวได้เหมือนกัน มันอยู่ที่คุณ จะศึกษา และทุ่มเท กับมันเพียงใด
"ไม่มีรวยเร็ว และอะไรที่ได้มาง่ายๆ ในถนนสายนี้"
นึกคำถามไม่ออกแล้ว ยังไงมีคำถามก็พิมพ์ทิ้งไว้กันได้เลยครับ
อันไหนตอบได้ ก็จะมาตอบให้ครับ
จบแล้ว
ออกตัวก่อนว่า ผมทำงานในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ผมมีรายได้จากการที่ลูกค้า ซื้อขายหุ้นนี่แหละ
แต่ที่ผมมาเขียนนี่ ก็ไม่ได้จะมาหวังผลประโยชน์อะไร เพราะมือใหม่ๆ เนี่ย
เทรดหมื่นนึง ผมจะได้ ค่าคอมมิชชั่นประมาณ 2 บาทถ้วนเห็นจะได้ ฮ่าๆๆ ยังไม่คุ้มค่าไฟเลย
แต่ที่มาเขียนก็อยากให้คนที่สนใจ กับคำว่าเล่นหุ้นอยู่ ได้พอมีอะไรพื้นฐานติดไปบ้าง ก่อนจะไปหาหนังสืออะไรอ่าน ต่อยอดต่อไป
ส่วนใครที่ยังไม่เคยศึกษาด้านการลงทุนในหุ้นเลย แล้วอยู่ดีดี จะมาซื้อหุ้นเลย
ผมก็ขอบอกให้คุณกลับไปศึกษาก่อน หาหนังสืออ่าน
เพราะการเข้ามาเล่นหุ้นแบบไม่รู้อะไร มักจะกลับออกไปแบบไม่เหลืออะไร
ส่วนใครจะมาขอหุ้นเด็ด หุ้นดี ผมก็ไม่มีเหมือนกัน
คิดหลักง่ายๆ ถ้าผมมีหุ้นเด็ด ผมก็เล่นเองอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว
ที่มีให้ได้ก็น่าจะเป็น แนวคิดการมองตลาดหุ้นไม่ให้เหมือนการพนัน
คอยเตือนให้มีสติ ส่วนการตัดสินใจทุกอย่าง ก็เป็นของ ทุกคนเองเท่านั้น เพราะเงินใครก็เงินมัน
ผมไม่ได้คาดหวังว่า จะมีคนมา เทรด ซื้อขายหุ้นเยอะๆ แล้วธุรกิจที่ผมอยู่จะรุ่งเรือง
ผมเห็นมาแล้ว พวกมาเทรดเยอะๆ แต่เทรดแบบการพนัน สุดท้ายก็เลิกเล่นไป
ผมอยากให้เมื่อใหม่ทุกคนมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้น เล่นหุ้น แบบลงทุนจริงๆ
และอยู่รอดในถนนสายนี้กับมันไปนานๆ
เพราะถ้าคุณอยู่รอดกับมันได้นานเท่าไหร่ คุณก็จะรวยเท่านั้น
ขอให้ทุกคนโชคดี
ใครมีอะไรเพิ่มเติม ก็ตามมาคุยกันได้ในเฟสบุคนะครับ
ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 6-3
1. หุ้นที่ซื้อขายกัน มาจาก เจ้าของบริษัทเอามาแบ่งขายครับ ที่เค้าเอามาแบ่งขายเพราะ
เค้าอยากได้เงิน เพื่อเอาไปขยายธุรกิจครับ หรือไม่ก็ไปใช้หนี้ และเค้าก็ยังกระจายความเสี่ยง มีผู้มาร่วมชะตากรรมด้วย อะไรแบบนี้
อย่างไรก็แล้วแต่ เค้าก็ยังถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ เพื่อที่ยังมีอำนาจในการบริหารเต็มครับ
2. ใครเป็นคนกำหนดราคาหุ้น
ตอนแรกก่อน ที่เจ้าของบริษัทจะเอาหุ้นมาแบ่งขาย จะมีนักการเงินช่วยกันคำนวน มูลค่าที่เหมาะสมคับ
ส่วนใหญ่จะ ประมานการว่า ในอนาคตบริษัทนี้จะทำ รายได้ ได้เท่าไหร่ แล้วก็คิดกลับมาเป็นราคาในปัจจุบัน อะไรประมาณนี้ครับ
แต่ วันที่หุ้น ถูกขาย ไปให้คนที่สนใจมาซื้อแล้ว ตะนี้ราคาจะขึ้นตามความต้องการ ของคนที่ถือหุ้นอยู่ กับคนที่อยากได้หุ้นครับ
ถ้าหุ้นมันดี นั่นคือบริษัทมีการเติบโตหรือกำไรที่ดี คนก็จะมาแย่งกันซื้อ ราคาก็จะขึ้นครับ
แต่ถ้าบริษัทนับวันยิ่งแย่ลง คนก็ไม่ค่อยอยากจะถือหุ้นแล้ว ราคามันก็จะลงครับ
3.ทำไมซื้อขายกันแล้วไม่หมด
คือหุ้นมันมีเยอะมากคับ และคนที่เข้ามาซื้อขายเปลี่ยนมือ ก็เยอะมากๆ
แต่ถ้าสมมุติ ทุกคนคิดว่าหุ้นที่ตัวเองถือ เป็นหุ้นที่ดีมากๆ มันก็มีโอกาสที่ หุ้นจะหมดได้นะคับ ก็คือ ไม่มีคนขายหุ้นออกมานั่นเอง
แต่ในความเป็นจริง ความคิดเห็นของคนจะไม่ตรงกัน
บางคนบอกหุ้นตัวนี้ดีมาก ไม่ยอมขายออกมา แต่พอราคาขึ้นไปมากๆ ก็อาจจะเปลี่ยนใจขาย
บางคนอาจจะต้องการใช้ตังในช่วงนั้น อาจจำเป็นต้องขายหุ้นออกมา
บางคนมองแค่เข้ามาเก็งกำไร พอราคาหุ้นขึ้นไป นิดหน่อย ก็จะขายแล้ว
อะไรแบบนี้คับ มันเลยทำให้หุ้น มีการหมุนเวียน เปลี่ยนมือ มีคนรอซื้อ มีคนรอขาย กันตลอดเวลาคับ
เรียกว่า หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ
4. ราคาในแต่ละวันที่แสดงในตลาดหุ้น จะเป็นราคาที่ มีคนต้องการเสนอขาย และมีคนต้องการรอซื้อคับ
มันถูกควบคุม โดยกลไกตลาด
ถ้าหุ้นนั้นมันเป็นหุ้นไม่ดี แต่มีคนเสนอขายแพงๆ ก็จะไม่มีคนไปซื้อ คนคนนั้นก็จะขายไม่ได้ ราคานั้นก็จะไม่เป็นราคาตลาด
จนกว่าจะมีสักคนนึง มาเสนอขายในราคาใหม่ ที่มีคนยอมซื้อ
ราคานั้นก็เป็นราคาตลาดคับ
การที่คนยอมขายต่ำกว่าราคา หรือ บางคนขายสูงกว่า เพราะแต่ละคนมองถึงอนาคตไม่เหมือนกันคับ
เม่าปลีกเหล็ก เทคนิคกว่า 17 ปีในการลงทุนหุ้น โจนายกสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า พอร์ต ร้อยล้าน By Now26 วีดีโอยูทูป
https://www.youtube.com/watch?v=n1XI_Y6CGpQ
อ.ภัทรธร ช่อวิชิต
จุดสังเกตุงบการเงิน + จับจังหวะหุ้นวิ่ง เวลาบริษัทลงทุนทำโรงงานใหม่
๑. ทำโครงการใหญ่ๆ ช่วงก่อสร้างเงินที่ลงยังไม่เป็นรายจ่ายในงบกำไรขาดทุนแต่อยู่ในงบดุล สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ที่ดินอาคารอุปกรณ์เพิ่ม
ถ้ากู้มาก็หนี้เพิ่ม = ส่วนดอกเบี้ยที่กู้มาสร้างจะบันทึกเป็นสินทรัพย์ ถ้าดูในงบกระแสเงินสด จะเห็นเงินสดจากกิจกรรมลงทุนติดลบเยอะๆ และเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นบวก
๑. ทำโครงการใหญ่ๆ ช่วงก่อสร้างเงินที่ลงยังไม่เป็นรายจ่ายในงบกำไรขาดทุนแต่อยู่ในงบดุล สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ที่ดินอาคารอุปกรณ์เพิ่ม
ถ้ากู้มาก็หนี้เพิ่ม = ส่วนดอกเบี้ยที่กู้มาสร้างจะบันทึกเป็นสินทรัพย์ ถ้าดูในงบกระแสเงินสด จะเห็นเงินสดจากกิจกรรมลงทุนติดลบเยอะๆ และเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินเป็นบวก
อัตรากำไรยังปกติ แต่อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์จะลดลงเพราะสินทรัพย์เพิ่มแต่รายได้ยังไม่เข้า
๒. วันที่ใกล้ๆเปิดใช้งานตลาดจะคาดว่าวันที่เปิดใช้กำไรต้องโตก้าวกระโดดหุ้นจะขึ้น
๓.วันที่เปิดใช้งาน สินทรัพย์จะลดลงกลายเป็นรายจ่ายค่าเสื่อมราคา พร้อมทั้งดอกเบี้ยจะเริ่มเข้างบกำไรขาดทุน
$$$$ ถ้ารายได้มาทันค่าใช้จ่ายกำไรจะไม่ตก = หุ้นจะวิ่ง
*** นักลงทุนที่ฉลาดจะซื้อหุ้นก่อนโรงงานเปิด (ก่อนงบที่รวมกำไรใหม่ออก)
$$$$ ถ้ารายได้มาทันค่าใช้จ่ายกำไรจะไม่ตก = หุ้นจะวิ่ง
*** นักลงทุนที่ฉลาดจะซื้อหุ้นก่อนโรงงานเปิด (ก่อนงบที่รวมกำไรใหม่ออก)
๔. ถ้ารายได้ยังไม่เข้า อัตรากำไรจะลดลง อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์จะลดลง กำไรลดหุ้นจะตก
$$$$ ให้รอตอนลูกค้าเข้า สังเกตุได้จาก : อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์เพิ่ม อัตรากำไรจะเพิ่ม = หุ้นจะวิ่ง
$$$$ ให้รอตอนลูกค้าเข้า สังเกตุได้จาก : อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์เพิ่ม อัตรากำไรจะเพิ่ม = หุ้นจะวิ่ง
โดย อ.ภัทรธร ช่อวิชิต http://www.investidea.in.th/
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558
เฉลยการประเมินระบบเทรด ของพี่ cwayinvesment
จากการสัมมนา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมทิ้งการบ้านให้น้องๆเทรดเดอร์ได้ลองคบคิดกัน
มาวันนี้ ขอเอาโจทย์ ที่ให้ไว้มาเฉลย

โจทย์ไม่อยาก เลือกระบบที่เหมาะสมที่สุด มา 1 ระบบจาก 4 ตัวเลือก
เบื้องต้นการเฉลย นี้ต้องบอกก่อนว่า ผมเลือกเหมาะที่สุดตามนิยามแนวคิดการเทรดของผมคือ
1. ความเสี่ยงจำกัด
2. มีความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง
3. มีความสเถียร์
มาดูเกณฑ์พิจารณาของผมแบบเบื้องต้นนะครับ (ไม่ได้เอาค่ายากๆมาคิดทั้งหมด เพราะไม่ได้สอนพวกเราไป)
---------------
Step 1 ความสมบูรณ์ของข้อมูลดิบ
การประเมินผลการทำงานระบบ เชิงสถิติหัวใจคือ ข้อมูลที่ประมวลผลออกมา เป็นค่าตัวเลข
เราจะคัดกรองอันนี้ก่อน ถ้าไม่สมบูรณ์ แปลว่า ผลมัน weak อาจจะโดน fooled by statistics ได้
พวกขายของ ขายระบบ ขาย EA ขาย signal ขาย copy trade
เขาจะเอาพวกนี้มาโชว์หลอกลูกค้าเยอะ จำไว้เป็นสำคัญ
ว่า ข้อมูลสำหรับการประมวลผลต้องสมบูรณ์ อันดับแรก
ดังนั้น ผมเข้าไปดูช่อง trades หรือจำนวนครั้งที่เทรดก่อน
ถ้าต่ำแปลว่าผลที่ได้ อาจจะไม่นิยามครอบคลุมการทำงานพอ
ขั้นแรก ตัดตัวเลือกระบบ S002 ไปได้เลยเพราะทดสอบมา 8 ครั้งเองต่ำมาก
แม้กำไรสูงสุด แต่ทดสอบมาน้อยเกินไปไม่สามารถการันตรีได้

Step2 ดูความเสี่ยง
- การขาดทุน
เลือกดู loss การขาดทุนจริงๆ ถ้าการขาดทุนหนัก มากๆไม่ดีแน่แปลว่า การใช้ position size อาจจะหนักบริหารเงินได้ไม่ดี (กรณีเงินต้นเท่ากัน)
แต่เนื่องจาก S001 S003 S004 ใช้กลยุทธ์เทรดต่างกัน จำนวนการเข้า order ต่างกัน การดูจุดนี้ต้องใช้ค่า ratio
คือ โดยเอา Avg loss / Avg win
ตรงนี้พอเรียงแล้ว จะได้เป็น S004(1.28), s001(2.98) , S003(3.07)
-Max Drawdown
ปกติถ้าระบบแบบทั่วไป ผมจะใช้เกณฑ์ DD ที่ไม่เกิน 55% (ส่วนตัวผมเองนะ)
ก็จะเรียงลำดับ ผลระบบได้ S001 S004 S003
Step3 ความสามารถในการทำกำไร
-Profit factor
ความสามารถการทำกำไร เรียงลำดับ >> S001 S003 S004
- Expectancy
ความคาดหวังกำไร เรียงลำดับ >> S003 S001 S004
Step4 reliability
ค่าความเชื่อมั่น และความสเถียร์ของระบบ บ่งบอกความต่อเนื่องในการสร้าง cashflow
- Standard Deviation
เทียบ volatility ของระบบ กับค่าเฉลี่ย ฐานแคบยิ่งดี เรียงลำดับ >> S001 S004 S003
สรุป
ผมนำผลรวมคะแนนเป็น Metric score ออกมา ให้คะแนนตามลำดับ กรณีนี้ไม่ใช้ weiegth ปกติถ้าทำงานจริงๆอาจจะเพิ่มค่าน้ำหนักในการประเมินเข้าไปอีกได้ สามารถตั้งให้สอดคล้องกับ optimization process ในตอนต้นได้เช่นกัน
การประเมินระบบนี้ตัวที่ได้คะแนน ตามเกณฑ์ที่เหมาะสมของผม คือ "S001" กำไรอาจจะไม่มากแต่ สเถียร์ limit risk ได้ดี

อันนี้เป็นเพียงแนวคิดส่วนตัวของผมนะครับ ถ้าใครมีมุมมองมีวิธีคิดที่แตกต่างไปก็อาจจะเลือกอันอื่นได้เช่นกัน
ปล. ข้อมูลผลสถิติ เอามาจากรายการแข่งขัน trading ระดับนานาชาติของโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง
cr: https://www.facebook.com/chaipat.ncm/notes
dow theory มันคือ trend analysis จะรู้มากเรียนมั่วมาจากสำนักไหน เทรดๆไปก็มาตายรังที่ Dow theory หมด !! เครดิต น้องนิกเพจ Niik Agapol Chamnanpanich
dow theory มันคือ trend analysis จะรู้มากเรียนมั่วมาจากสำนักไหน เทรดๆไปก็มาตายรังที่ Dow theory หมด !! จะนักเทรดกราฟ นักลงทุน fundamental ก็ไม่มีใครู้อนาคต ทุกคนได้แต่คาดการณ์ไปต่างๆนาๆทั้งนั้น เห็นหลายคนเรียนมาหลายสำนักหมดไปเป็นหมื่นๆ แสนๆ พอถามเรื่อง Dow theory กลับบอกไม่รู้จัก ! นี่มันเรื่องแรกของการเทรดเลยนะครับ ขาดทุนไปก่อนละกันนะจนเบื่อ ค่อยมาสนใจมัน เพราะ Dow theory ก็แค่ทฤษฎีเรียบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนมีแค่ 3 อย่างให้ดูคือ คลื่น major trend คลื่น Secondary trend และคลื่น Minor trend มันมีแค่นั้นและเวลาเกิด Action มันก็ทำรูปแบบเหมือนกันหมดทั้ง Dow theory action (ยก low Break high) และ Dow theory Failure action (ยก low แต่ไม่ break high) มันมีแค่นั้น รู้ dow theory รู้การเกิด reversal รู้ pattern รู้ Divergence Convergence มันก็กำไรแล้ว ! ที่เหลือมันคือเรื่องจิตใจ ความมีวินัย ที่คุณขาดทุนจากหุ้นบางทีปัญหาไม่ใช่คุณยังรู้น้อยไปหรอกครับ ปัญหาคือคุณรู้มากไปจนลืมเรื่องพัฒนา Mind set ปรัชญาการลงทุนและการวางเงินในการเทรดแต่ละครั้งมากกว่า รู้มากกว่าผมมันมีอีกเยอะถามอะไรรู้หมด แต่เทรดไม่ได้เรื่อง มันก็แค่ราคาคุย ! มันไม่ make sens รู้อย่างพอดีรู้แค่นี่ก็ทำกำไรได้อย่างพอเพียงแล้ว อยากได้กำไรเพิ่ม โลภมากอีกก็ไปพัฒนาการเทรดแบบมีวินัย และ money management ครับ ประเภทต้องซื้อขายหุ้นทุกวันเทรดไปก็เครียด เทรดแบบ End of day มันยังเทรดได้เลย ระหว่างวันคุณก็เอาเวลาไปทำงาน ทำการ ดูแลสุขภาพ ท่องเที่ยว ว่างหน่อยก็เข้าวัดทำบุญ ปลูกต้นไม้ ทำสวนทำไร่ไป ไม่ต้องเอาเวลามาเครียดกับมันทั้งวันหรอกครับ ดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายด้วย หลายคนเทรดเกินตัวเกินไปทั้งเทรดแบบทั้งวี่ทั้งวันชอบปั๊มเงินให้มาร์เก็ตติ้งกินค่าคอมมิชชั่น และอีกในแง่หนึ่งหลายคนก็ชอบเทรดเกินเงินตนเองหน้าตักที่ตนเองมี ทุ่มกับหุ้นบางตัวมากเกินไปหรือเรียกว่าการ (Over trade) แบบนี้มันผิดหลักการวางเงินอย่างเป็นระบบ ผมก็ไม่เคยเรียนหรอกครับเรื่อง Risk management Money Management ผมก็ทำตามประสบการณ์ของตนเองไป ประสบการณ์เท่านั้นที่จะสอนคุณได้ ทำกำไรให้เป็น รักษาเงินต้นให้เก่ง วางเงินอย่างเป็นระบบ และบริหารความเสี่ยงด้วยเหตุด้วยผล อารมณ์คือสิ่งที่ไม่จำเป็นในการเทรด ตัดมันออกไป ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เทรดอย่างเรียบง่าย ไม่นานก็รวยเอง เลิกให้เงินมาร์เก็ตติ้งบ่อยๆได้แล้ว กำไรก็รู้จักการ let's profit run แล้วเมื่อคุณทำได้คุณจะเลิกรวยไม่เป็น !!
เครดิต Niik Agapol Chamnanpanich FB
เครดิต Niik Agapol Chamnanpanich FB
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558
การอ่านหนังสือหรือทำความเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง เพื่อที่จะนำไปสอบหรืออะไรก็แล้วแต่ เคล็ดลับที่ใช้ได้ผลมากนั่นก็คือ นำสิ่งที่อ่านมาไปสอนให้กับคนอื่น
การอ่านหนังสือหรือทำความเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง เพื่อที่จะนำไปสอบหรืออะไรก็แล้วแต่ เคล็ดลับที่ใช้ได้ผลมากนั่นก็คือ นำสิ่งที่อ่านมาไปสอนให้กับคนอื่น เพราะจะเป็นการทบทวนในสิ่งที่เรารู้ และจะช่วยให้เราพบข้อผิดพลาดของตัวเองได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
แต่ถ้าหากไม่มีใครให้สอนหล่ะ? ก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองเสียเอง ซึ่งในบทความนี้ผมก็มี เคล็ดลับในการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคนิกที่มีชื่อว่า Feynman Technique ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์ว่าเราเป็นผู้สอนนั่นเอง
1. เลือกหัวข้อที่อยากจะทบทวนหรือทำความเข้าใจ
หากระดาษเปล่ามาหนึ่งแผ่น เขียนหัวข้อเรื่องนั้นๆไว้บนหัวกระดาษ
2. ให้คิดเสียว่ากำลังสอนเรื่องนี้ให้กับคนอื่นอยู่เขียนคำอธิบายเกี่ยวกับหัวข้อที่เราเขียนไว้บนหัวกระดาษ ให้เหมือนกันว่ากำลังเขียนเพื่ออธิบายให้กับนักเรียนหรือใครบางคนอยู่ ซึ่งการทำแบบนี้ จะช่วยให้เราเจอข้อผิดพลาดของตัวเองได้ง่าย
3. หากเจอสิ่งที่ไม่เข้าใจ ให้หยุดเขียน แล้วเปิดอ่านหนังสือขึ้นมาดูหากพบว่ามีส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ ให้หยุดเขียนไว้สักครู่ แล้วเปิดหนังสือหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม จนกว่าเราจะสามารถเขียนอธิบายลงบนกระดาษได้อีกครั้ง
4. ใช้ภาษาของเราอย่าลืมว่าในการเขียนอธิบายนั้น ให้ใช้ภาษาของตัวเราเองที่จะสามารถเข้าใจได้ง่ายที่สุด เพราะถ้าหากใช้ภาาาที่ยากแล้ว สุดท้ายคนที่จะไม่เข้าใจก็จะกลายเป็นตัวเราเองครับ
cr: http://www.wegointer.com/2014/09/feynman-technique/
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558
6 Things Warren Buffett Says You Should Do With Your Money In 2015
ผมได้มีโอกาสอ่านบทความเรื่อง “6 Things Warren Buffett Says You Should Do With Your Money In 2015” จากเว็บไซต์ “Business insider” ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ได้รวบรวมข้อคิดดีๆ ที่สุดยอดนักลงทุนอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ได้กล่าวไว้ในวาระต่างๆ ในปีที่ผ่านมา สรุปเป็นคำแนะนำทางด้านการเงิน 6 ข้อ ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอนำมาถ่ายทอดให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ
1.ลงทุนในแหล่งที่มีความปลอดภัย
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ประจำปี 2014 “บัฟเฟตต์” ได้เปิดเผยถึงแผนการบริหารทรัพย์สินของเขา พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้อ่านลงทุนในแหล่งลงทุนที่มีความปลอดภัย มีค่าใช้จ่ายต่ำ และเป็นการลงทุนแบบระยะยาว เขาแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่คิดค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนต่ำมากๆ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ดีกว่าแหล่งลงทุนอื่นๆ ที่ต้องจ้างผู้จัดการกองทุนค่าตัวแพงๆ
2.อยู่ให้ห่างจาก “Bitcoin”
“Bitcoin” เป็นสกุลเงินชนิดหนึ่งในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในเมืองไทย “บัฟเฟตต์” มองว่าการทำธุรกรรมทางการเงินรูปแบบดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องของการลงทุน เนื่องจากมันไม่มีมูลค่าที่แท้จริง แต่เป็นเหมือนภาพลวงตา และเป็นเพียงการหมุนเงินหรือถ่ายโอนเงินรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เขาจึงแนะนำให้อยู่ห่างๆ เอาไว้
3.เรียนรู้ที่จะอ่านงบการเงิน
“บัฟเฟตต์” ได้ให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ฝึกงานด้านหลักทรัพย์คนหนึ่งไว้ว่า ให้พยายามเข้าอบรมด้านบัญชีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบัญชีเป็นภาษาของธุรกิจ มันจะทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจงบการเงินได้ง่ายขึ้น นี่เป็นการเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ในเบื้องต้น ที่จะเป็นประโยชน์มหาศาลในภายหลัง
4.มุ่งเน้นที่การเก็บออม ไม่ใช่มุ่งหวังรวยเร็ว
“บัฟเฟตต์” บอกว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือ การไม่เรียนรู้และฝึกฝนให้มีนิสัยในการเก็บออมอย่างเหมาะสมแต่เนิ่นๆ การออมให้เป็นนิสัยนั้นสามารถทำให้เรารวยได้ แม้ต้องอาศัยเวลาบ้างก็ตาม ในขณะที่การร่ำรวยแบบเร็วๆ หรือรวยทางลัดนั้น “บัฟเฟตต์” บอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
5.เมื่อราคาหุ้นตก ให้ซื้อ ไม่ใช่ขาย
“บัฟเฟตต์” ให้สัมภาษณ์ว่า เขาชอบเข้าซื้อตอนที่หุ้นตก ยิ่งตกหนักๆ เขายิ่งชอบ “ผมไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตลาดหุ้นจะไปในทิศทางใด ผมรู้แค่ว่าควรเข้าไปซื้อหุ้นของกิจการที่มีราคาเหมาะสมเพื่อเป็นเจ้าของในระยะยาว”
6.หยุดทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ
“บัฟเฟตต์” บอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างผลตอบแทนทางการลงทุนที่ยอดเยี่ยม เพียงแค่คุณรู้ข้อจำกัดของตัวเอง และเดินตามแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม มีเหตุมีผล และอย่าหวั่นไหวไปตามกระแสรอบข้าง ถ้ามีผู้มายื่นข้อเสนอที่จะทำให้คุณได้กำไรอย่างรวดเร็ว ก็ให้รีบปฏิเสธเขาไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน “บัฟเฟตต์” กล่าวเตือนสติไว้ว่า “ถ้าคุณไม่ได้ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จริง ก็เท่ากับว่าคุณกำลังเล่นพนันหรือเสี่ยงดวงนั่นเอง”
ทั้งหมดนั้นก็คือ คำแนะนำที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ได้ให้ไว้ หวังว่าคุณผู้อ่านจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับการบริหารเงินและการลงทุนได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ
เครดิต http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58520
1.ลงทุนในแหล่งที่มีความปลอดภัย
ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ประจำปี 2014 “บัฟเฟตต์” ได้เปิดเผยถึงแผนการบริหารทรัพย์สินของเขา พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้อ่านลงทุนในแหล่งลงทุนที่มีความปลอดภัย มีค่าใช้จ่ายต่ำ และเป็นการลงทุนแบบระยะยาว เขาแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่คิดค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนต่ำมากๆ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ดีกว่าแหล่งลงทุนอื่นๆ ที่ต้องจ้างผู้จัดการกองทุนค่าตัวแพงๆ
2.อยู่ให้ห่างจาก “Bitcoin”
“Bitcoin” เป็นสกุลเงินชนิดหนึ่งในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในเมืองไทย “บัฟเฟตต์” มองว่าการทำธุรกรรมทางการเงินรูปแบบดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องของการลงทุน เนื่องจากมันไม่มีมูลค่าที่แท้จริง แต่เป็นเหมือนภาพลวงตา และเป็นเพียงการหมุนเงินหรือถ่ายโอนเงินรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เขาจึงแนะนำให้อยู่ห่างๆ เอาไว้
3.เรียนรู้ที่จะอ่านงบการเงิน
“บัฟเฟตต์” ได้ให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ฝึกงานด้านหลักทรัพย์คนหนึ่งไว้ว่า ให้พยายามเข้าอบรมด้านบัญชีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบัญชีเป็นภาษาของธุรกิจ มันจะทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจงบการเงินได้ง่ายขึ้น นี่เป็นการเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ในเบื้องต้น ที่จะเป็นประโยชน์มหาศาลในภายหลัง
4.มุ่งเน้นที่การเก็บออม ไม่ใช่มุ่งหวังรวยเร็ว
“บัฟเฟตต์” บอกว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือ การไม่เรียนรู้และฝึกฝนให้มีนิสัยในการเก็บออมอย่างเหมาะสมแต่เนิ่นๆ การออมให้เป็นนิสัยนั้นสามารถทำให้เรารวยได้ แม้ต้องอาศัยเวลาบ้างก็ตาม ในขณะที่การร่ำรวยแบบเร็วๆ หรือรวยทางลัดนั้น “บัฟเฟตต์” บอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
5.เมื่อราคาหุ้นตก ให้ซื้อ ไม่ใช่ขาย
“บัฟเฟตต์” ให้สัมภาษณ์ว่า เขาชอบเข้าซื้อตอนที่หุ้นตก ยิ่งตกหนักๆ เขายิ่งชอบ “ผมไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตลาดหุ้นจะไปในทิศทางใด ผมรู้แค่ว่าควรเข้าไปซื้อหุ้นของกิจการที่มีราคาเหมาะสมเพื่อเป็นเจ้าของในระยะยาว”
6.หยุดทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ
“บัฟเฟตต์” บอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างผลตอบแทนทางการลงทุนที่ยอดเยี่ยม เพียงแค่คุณรู้ข้อจำกัดของตัวเอง และเดินตามแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม มีเหตุมีผล และอย่าหวั่นไหวไปตามกระแสรอบข้าง ถ้ามีผู้มายื่นข้อเสนอที่จะทำให้คุณได้กำไรอย่างรวดเร็ว ก็ให้รีบปฏิเสธเขาไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน “บัฟเฟตต์” กล่าวเตือนสติไว้ว่า “ถ้าคุณไม่ได้ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จริง ก็เท่ากับว่าคุณกำลังเล่นพนันหรือเสี่ยงดวงนั่นเอง”
ทั้งหมดนั้นก็คือ คำแนะนำที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ได้ให้ไว้ หวังว่าคุณผู้อ่านจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับการบริหารเงินและการลงทุนได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ
เครดิต http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=58520
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558
เล่นเทรดดิ้งไม่รวยหรอก (บทความเก่าๆ) คำแนะนำจากเสี่ยป๋อง บทความจากเว็ปพันทิป
Cr: http://www.iammrmessenger.com/?p=479
ใครรู้จัก John J. Murphy บ้างไหมครับ? เขาคือนักวิเคราะห์เทคนิคคนหนึ่งของ
Wallstreet เขียนตำราอ่านเทคนิคขั้นเทพไว้ Murphy นี่เขาได้รับการยอมรับว่าเป็น “the father of inter-market
technical analysis” เชียวนะครับ โดยเขาเคยเขียนหนังสือเรื่อง “Technical
Analysis of the Financial Markets” ไว้
หนังสือดังกล่าวได้รับการยอมรับในวงการเทคนิค
และใช้เป็นตำราเบื้องต้นกันอย่างกว้างขวาง หนังสือเล่มนี้ได้ระบุ กฎเหล็ก 10
ข้อ สำหรับการใช้ Technical Analysis มาเป็นกลยุทธ์ในการลงทุน
มีอะไรบ้าง ตามมาเลยครับ
1. Map the Trends :: พยายามเริ่มศึกษากราฟจากมุมมองระยะยาวโดยใช้ Monthly
หรือ Weekly Charts และดูยาวๆไปหลายๆปี
เพื่อให้เห็นภาพกว้างๆ เมื่อได้ภาพใหญ่ในหัว ค่อยย่อมาดูกราฟ Daily หรือ Intra-day Charts ซึ่งควรให้น้ำหนักการเทรดในทิศทางเดียวกันกับ
Weekly และ Monthly Charts สมมตินะครับ
กราฟระดับ Week บอกเราว่า ตลาดหุ้นปัจจุบันยังเป็นเทรนขาขึ้น
ในการเทรดระยะสั้นโดยกราฟ Intraday อยู่ฝั่งซื้อ
จะได้เปรียบกว่าฝั่งขาย
2. Spot the Trend and Go With It :: เมื่อได้เทรนใหญ่ สิ่งที่สำคัญคือ Follow
The Trend จง Buy on Dips ถ้าเทรนเป็นขาขึ้น
และ จง Sell on Strength ถ้าตลาดอยู่ในขาลง
ถ้าเทรดระยะกลางให้ใช้ Weekly กับ Daily Charts ถ้าเป็น daytrade ให้ใช้ Daily กับ Intra-Day ไม่ว่าจะเทรดจะระยะกลาง
หรือเทรดระยะสั้น ให้ใช้ Charts ที่ระยะยาวกว่า
เป็นเทรนหลักในการเทรดช่วงนั้น ยกตัวอย่างเช่น พรุ่งนี้จะ daytrade กับ S50M11 ซักหน่อย ก็ใช้ Daily Charts ดูเทรนหลักว่าเป็นขึ้นหรือลง ลกยุทธ์ของวันพรุ่งนี้
ก็ให้น้ำหนักตามเทรนหลัก ครับ
3. Find the Low and High of It :: พูดง่ายๆก็คือ การหาแนวรับแนวต้านนั้นเอง
ที่ๆเหมาะที่สุดในการซื้อก็ถือ แถวๆแนวรับ (Support Level) ส่วนที่ๆเหมาะกับขายที่สุดก็คือ
แถวๆแนวต้าน (Resistant Level) คราวนี้
มันก็จะมีกรณีที่เกิดการ Breakout ขึ้นมา
ไม่ว่าจะแนวรับหรือแนวต้าน ถ้าเจอ Breakout ก็ให้ตั้งสมมติฐานว่า
เทรนหลักที่เราเคยมองไว้ อาจถึงช่วงกลับทิศ แต่ทั้งนี้ บางครั้ง แนวรับ แนวต้าน
อาจมีมากกว่า 1 แนว จึงต้องย้อนกลับไปดูกฎข้อแรกที่ให้เรา Map
the Trends ด้วยการดูภาพใหญ่ให้ชัด หากหลุดแนวรับหรือแนวต้าน
แต่เทรนหลักไม่เสีย ก็ทำตามระบบเดิม
4. Know How Far to Backtrack :: วัดหาระดับของการ Pullback หรือการ
Rebound เพราะให้ตลาดขาขึ้นจริง 100% มันก็ไม่มีทางขึ้นอย่างเดียวไปจนจบรอบ
ตลาดขาลง ก็ไม่มีทางจะลงรวดเดียวไปจนจบรอบเช่นเดียวกัน ระหว่างทางจะมีการแกว่งตัว
ดังนั้นการหา % ของการแกว่งตัว ก็เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ Murphy แนะนำให้ใช้ Golden Ratio Fibonacci Retracement 38.2% และ 61.8% และ 50% ในการหาแนวรับ
และแนวต้าน โดย Maximum Retracement จะอยู่ที่ 61.8% หากการเด้งขึ้น หรือ ลง แรงกว่าสัดส่วนนี้ ให้สมมติฐานว่า
เทรนหลักอาจกำลังเปลี่ยนไป
5. Draw the Line :: ที่เราเรียกกันว่า
Trendline นั้นเองครับ นักเทคนิคไม่ใช่เพียง Murphy ยอมรับว่า เป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุด และแม่นที่สุด แต่ Murphy เชื่อว่า ตลาดหุ้นมีแค่ 2 เทรน นั้นก็คือ Uptrend
และ Downtrend (ไม่มี Sideway) ส่วนที่เราเห็นตลาด Sideway เป็นเพราะเราลืมมองภาพใหญ่
(กราฟ Weekly หรือ Monthly) ซึ่ง Murphy
ก็บอกไว้ตั้งแต่กฏข้อแรกแล้วว่า ให้ดูก่อน
6.Follow that Average :: นั้นก็คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ย Moving
Average ระยะสั้น กับระยะยาว ตัดกันให้เป็น Buy or Sell
Signal เส้นค่าเฉลี่ยที่แนะนำก็คือ 4,9 หรือ 9,18
หรือไม่ก็ 5,20 ถ้าเส้น MA ระยะสั้นตัดระยะยาวขึ้น ก็เป็น Buy Signal ถ้ากลับทาง
ก็เป็น Sell Signal (แต่ส่วนตัว ผมไม่เคยใช้เส้นที่ Murphy
แนะนำเลยนะ รู้สึกมันให้ False Signal บ่อยเกินไป)
7. Learn the Turns :: ใช้ Oscillators ในการหาภาวะที่ตลาดกำลัง
Overbought หรือ Oversold เพื่อเป็นการเตือนถึงจุดกลับทิศทางของตลาดก่อนล่วงหน้า
Oscillators ที่นิยมให้กันก็คือ RSI โดยถ้า
RSI>70 ก็ Overbought เตรียมลง ,
ส่วน RSI<30 ก็ Oversold เตรียมขึ้น การเกิด Divergence ใน Oscillators
สามารถให้ความแม่นยำให้จุดกลับตัวของตลาดได้ค่อนข้างสูง
(ตัวอย่างมีให้เห็นมาตลอด ผมก็ได้เงินจากมันมาเยอะ)
8. Know the Warning Signs :: ต้องรู้ก่อนว่าตลาดจะกำลังให้สัญญาณให้อนาคต
เพื่อการเฝ้าระวัง (ไม่ตกรถ ไม่ติดดอย หุหุ) ยกตัวอย่างเช่นการใช้ MACD เพื่อดู Signal โดย Murphy แนะนำให้ดู
Histogram ด้วย เพราะแท่ง Histogram เอาไว้บอกความแตกต่างระหว่างเส้น
MA 2 เส้น ยิ่ง Histogram สูง แสดงว่า MA
ทั้งสองเส้นต่างกันมากเกินไป โดยปกติจะกลับเข้ามาใกล้กันในที่สุด
ทำให้ Histogram บอกเราได้ว่า เทรนเป็นยังไง
9. Trend or Not a Trend :: ในช่วงการเทรด
มันจะมีบ้างช่วงเป็นธรรมดาที่เราอ่านเทรนหลักไม่ออก ให้ใช้ ADX (Average
Directional Movement Index) ถ้า ADX ชันขึ้น
แสดงว่าเทรนที่เราเห็นในขณะนั้น มีความแข็งแรงดี (ไม่ว่าจะเป็นเทรนขึ้นเทรนลง)
แต่ถ้า ADX อ่อนตัวลง หรือต่ำกว่า 20 ลงไป
แสดงว่าเทรนที่เราเห็นยังไม่แข็งแรง หรือเป็น Sideway นั้นเอง
>> แล้วทำยังไง? ถ้า ADX แข็งแรง การใช้ Moving Average ตัดกันเพื่อ Buy
Signal จะให้ความแม่นยำกว่า Oscillator แต่ถ้า
ADX บอกว่าไม่มีเทรน หรือเทรนไม่แข็งแรง การใช้ Oscillator
(RSI, Stochastic) มาเทรด จะให้ความแม่นยำมากกว่า
การดู ADX นี่จำเป็นนะครับ ใครไม่รู้เครื่องมือตัวนี้ ใช้แต่ RSI พอตลาดมีเทรนขาขึ้นแรงๆ RSI วิ่งไป Overbought เป็นเดือนๆ ขายหมูกันหมด กลับกัน ลองคิดดูหากตลาดเป็น Bear ลงยาวๆ RSI บอก Oversold เป็นเดือนๆเหมือนกัน เราก็ซื้อจนหมดหน้าตัก มันก็ยังลงไม่หยุด ต้องระวัง
การดู ADX นี่จำเป็นนะครับ ใครไม่รู้เครื่องมือตัวนี้ ใช้แต่ RSI พอตลาดมีเทรนขาขึ้นแรงๆ RSI วิ่งไป Overbought เป็นเดือนๆ ขายหมูกันหมด กลับกัน ลองคิดดูหากตลาดเป็น Bear ลงยาวๆ RSI บอก Oversold เป็นเดือนๆเหมือนกัน เราก็ซื้อจนหมดหน้าตัก มันก็ยังลงไม่หยุด ต้องระวัง
10. Know the Confirming Signs :: เราจะรู้ได้ไงว่า ไอ้ที่เรา Action ไป มันถูกหรือมันผิด? Murphy บอก ดูที่ “Volume”
สัญญาณซื้อหรือขายที่เกิดขึ้นไปแล้ว มักจะมาพร้อมๆกับ Volume
หรือไม่ก็ Volume จะตามหลังมาจากให้สัญญาณไม่นาน
ตย. สำหรับกฏข้อสุดท้ายนี้ เพิ่งเกิดกับ SET Index ในสองวันที่ผ่านมาเลยครับ
วันที่ Break 1,000 จุดมา มูลค่าการซื้อขายยัง 2 หมื่น ลบ.ต้นๆ วันนี้บวกต่อพร้อม Volume ทะลักไป 4
หมื่น ลบ. ใครรอ Volume หายไป 10 กว่าจุด น่าสงสาร >.<
จะเห็นว่ากฎทั้ง 10 ข้อ ของ Murphy ส่วนใหญ่เป็นอะไรที่ง่ายๆ
ไม่ซับซ้อนเกินไป แต่ปัญหาคือ เรามักจะลืมมันไปก็แค่นั้นนะ
สุดท้ายขอฝาก Quote ของเขาไว้หน่อย
”Technical analysis
is a skill that improves with experience and study. Always be a student and
keep learning” – John J. Murphy
Cr :http://pantip.com/topic/33118060
เล่นเทรดดิ้งไม่รวยหรอก
(บทความเก่าๆ)
“เล่นเทรดดิ้งไม่รวยหรอก เชื่อผม
สู้ถือข้ามวันข้ามเดือนไม่ได้ รวยกว่าเยอะ”
ธุรกิจ : BizWeek
วันที่ 17 ธันวาคม 2556 01:00
เขา เล่าว่า “ผมเล่นหุ้นมา 21 ปี ยังหาอะไรที่ “ระงับความโลภ” ของตัวเองไม่ได้เลย
เชื่อมั้ยไม่เคยโกยกำไรถึง “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เต็มที่ทำได้แค่ 70 เปอร์เซ็นต์ อธิบายง่ายๆ ซื้อหุ้น 10 ครั้ง แต่ชนะแค่ 7 ครั้ง ทุกวันนี้ยังวิเคราะห์ไม่ออก
มันต้องมีอะไรผิดระหว่างทาง
ตลอดชีวิตการเล่นหุ้นไม่เคยได้กำไรจากหุ้นเพียงตัวเดียวในระดับหลายๆร้อยล้านบาทเหมือนนักลงทุนคนอื่น
เต็มที่ทำได้แค่ตัวละ200-300 ล้านบาท หรือบางครั้งต้องเล่นมากถึง
10 ตัว ถึงจะได้กำไรมากหลายร้อยล้านบาท อาจเป็นเพราะไม่ค่อยถืออะไรนานๆ
สูตรลงทุนง่ายๆ
คือ ภายใน 3 เดือน หุ้นตัวนั้นต้องขยับ ถ้าเกิด 3 เดือนไม่กำไร แปลว่า คิดผิดแล้ว ส่วนใหญ่ซื้อหุ้น 1 ตัว 1 เดือนต้องเริ่มขยับ
บอกตามตรงรอไม่เคยถึง 3 เดือนสักที
“ลงทุนหุ้นมา 21 ปี ผมได้กำไรมา “หลายพันเปอร์เซ็นต์” แล้ว ช่วงวิกฤติการเงินในปี 2551 ผมรอดขายหุ้นทิ้งไปตั้งแต่ดัชนี 800 จุด พอเกิดวิกฤติตลาดหุ้นเหลือแค่ 300 จุด จากนั้นผมเข้าไปเก็บใหม่ คราวนี้ดัชนีขึ้นมา 1,600 จุด ไม่กำไรก็แปลกละ ดัชนีขึ้นมา 4 เท่าขนาดนี้”
เมื่อก่อนเคย “ปักธง” ว่า อนาคตพอร์ตหุ้นต้องแตะ “หลักพันล้าน” เพราะตามเส้นเทคนิคดัชนีจะไป 3,000 จุด ความคิดอยากอยู่ต่อก็บังเกิด ชีวิตผมจะทำอะไรได้
ตอนนี้กลายเป็นคนทำอะไรไม่เป็นแล้ว ก็คงอยู่ในสายอาชีพนี้ไปอีกสักระยะ
ตอนนี้เอาทุนออกไปหมดแล้ว
ทุนเราแค่ 10-20 ล้านบาทเท่านั้น ทุกวันนี้นำกำไรมาเล่นอย่างเดียว
แต่ก่อนจะกำไรมากเท่านี้ 10 ปีแรก “ขาดทุนตลอด” มาได้กำไรอีกทีปี 2546 ก่อนจะคืนกำไรทั้งหมดในปี 2547-2548 ช่วงนั้น “จ๋อยมาก” จากนั้นก็กำไรมาเลยๆ
“คนเราต้องรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง”
เป้าหมายการลงทุน
ก่อนมูลค่ายังไม่แตะหลักพันล้านบาท รู้สึกเครียดนะ
แต่เมื่อเดินทางมาถึงแล้วกลับรู้สึกเฉยๆ ชีวิตการลงทุนยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง
ถามว่าเป้าหมายต่อไปเป็นอย่างไร ขอมูลค่าพอร์ตขยับเรื่อยๆเติบโตปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่เร่งแล้ว แค่นี้ก็มีความสุข ไม่ขอใหญ่โตเป็น “หมื่นล้าน”
“พอร์ตใหญ่ขึ้นซื้ออะไรก็ลำบาก
ไม่เหมือนเมื่อก่อนซื้อแค่วันละหลักร้อยล้านบาท ทำได้ง่าย
ทุกวันนี้วอลุ่มตลาดหุ้นไทยแค่ 30,000 ล้านบาท สมมุติถ้าผมใช้เงินซื้อหุ้น 2,000 ล้านบาท แล้วขาย 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของตลาดหุ้น โดนทางการสอบอีก“
Cr: http://pantip.com/topic/33119143
สิ่งที่โปรเทรดเดอร์คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเทรด
... มือใหม่สมควรอ่าน
แตกกระทู้มาจาก
http://pantip.com/topic/33118870 เอามาแปลเฉพาะชอทสำคัญ กลัวมือใหม่ไม่ได้อ่าน
ทับศัพท์บ้างนิดหน่อยนะ
แปลไทยไม่เก่ง
Link สำหรับคนอยากอ่านภาษาอังกฤษ http://www.tradeciety.com/most-important-thing-traders-say/
Steve from the New Trader University
- ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวที่แท้จริงของราคา
อย่าพยายามคาดการณ์
งานของคุณคือจับตาดูแนวโน้มบนไทม์เฟรมของคุณ
Mr. Breakout from Sharp
Traders
- เทรดบนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ไม่ใช่เทรดบนสิ่งที่คุณกำลังคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
ตลาดไม่ได้สนใจในสิ่งที่คุณคิด
ไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามและค้นหาถึงสาเหตุของหลายๆสิ่ง
Michael Lamothe from Chart Your Trade
- ความรู้สึกของความหวัง ความกลัว
ความโลภ ในการเทรดจริง ช่วยให้เราเข้าใจความเป็เรามากขึ้น
และเมื่อเราเข้าใจว่าเราเป็นอย่างไร
เราจะสามารถค้นหาระบบ กลยุทธ์ และ เทคนิคที่เวิร์คสำหรับเรา
The UK Trendfollower from The TrendFollower
- การเรียนรู้วิธีการควบคุมความเสี่ยงที่ดี
จะช่วยให้คุณสามารถผิดพลาดได้หลายครั้งและยังคงเทรดต่อไปได้
อย่าบันทึกเพียงแค่ตัวเลขมาตรวัดธรรมดาในบันทึกการเทรดของคุณ แต่ควรบันทึก
อารมณ์ ความคิด และอื่นๆ
ในขณะที่คุณรับมือกับการขึ้นและลงของการเทรดของคุณด้วย
เพราะมันจะช่วยให้คุณเรียนรู้หลากหลายอย่างจากสิ่งนั้น
(discipline, sticking to
your rules, risk etc).
Henri Simoes from Trading Cards
- “Forget fancy indicators and sophisticated technical tools. Just
FOCUS on what is WORKING in the market
you are trading RIGHT
NOW.” ... (คงไม่ต้องแปลเน๊อะ อย่ายึดติดกับเครื่องมือที่ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา
อย่าพยายาม
หา Holy Grail ให้ตายเถอะ หากันจัง)
Options IQ Trading from
OptionsTradingIQ.com
- หาพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษาสักคน
หรือหาใครสักคนที่สามารถบรรลุผลในแบบที่คุณต้องการจะเห็นและ pick their
brain
(อืม ... ของไทยหายากพอสมควร ของเก้ก็เยอะ ของแท้ก็เล่นตัวน่าดู 555+)
Assad Tannous
- never average down on a
losing position อย่าถัวขาลง !!!
H. Avni Kefeli – @sidabumi
- ตลาดยุติธรรมต่อทั้ง
พอร์ทเล็กและพอร์ทใหญ่ (จริงดิ คงใช่เพราะตลาด ไม่ใช่มาร์เก็ตติ้ง 555+)
ถึงแม้ว่าคุณจะมีเพียงแค่พอร์ทเล็กๆ
คุณก็ยังมีโอกาสที่จะทำเงิน จาก (อ่านดีๆนะ)
Proper money management และ Position Sizing Strategy !!! 2 อย่างนี้ทำให้ตลาดยุติธรรมสำหรับทุกๆคน
Tobias Volland
- เมื่อมองกลับไปผมอยากที่จะมี
ที่ปรึกษาการเทรด (trading mentor) ผู้ที่จะสามารถเน้นย้ำถึงความสำคัญ
ของ (อ่านดีๆนะ) ความเสี่ยง และ
การบริหารเงินทุน รวมถึง เครื่องมือที่ทำให้บรรลุถึงความรู้ในการเทรดของผม
Robert Sweetman
- คุณไม่สามารถเรียนรู้ที่จะเทรดจากหนังสือที่เกี่ยวกับมัน
มีแต่การฝึกฝนจากสถานการณ์จริงเท่านั้นที่จะช่วยพัฒนาคุณได้
Rolf from Tradeciety
- ผมหวังว่า
ผมจะรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง Risk & Reward และ
อัตราการชนะ ด้วย Math and statistics ซึ่งจะช่วย
ให้คุณรู้ว่าคุณควรจะปรับเปลี่ยน"ตรงไหน" และ
"อย่างไร" ในวิธีการเทรดของคุณ และเมื่อนั้นคุณจะสามารถสร้างระบบเทรด
ที่เหมือนเสื้อผ้าสั่งตัดสำหรับคุณได้ step by step
************ ขออนุญาติจัดเรียงให้นิดหน่อย
สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ************
- สิ่งที่สมควรหาคือ หนังสือที่ดี
โค้ชที่ดี Good
Book & Good Mentor
เหตุเพราะหนังสือช่วยเราได้ โดยเฉพาะเรื่อง Math &
Stats ส่วน Mentor ที่ดีหายากพอสมควร
- สิ่งที่จะต้องเรียนรู้เป็นอย่างแรกๆ
สำหรับเทรดเดอร์คือ Risk Control & Money Management
เพราะว่าต่อให้คุณมีอินดิเคเตอร์เทพ หรือ
มีมาร์เก็ตติ้งเป็นวอเร็นต์บัฟเฟต ถ้าตังคุณหมดคุณก็จบอยู่ดี (ยกเว้นขอตังแม่ใหม่)
- สิ่งถัดไปที่คุณต้องเข้าใจหรือตั้ง Mind Set คือ ตลาดคือตลาด อย่าพยายามคาดเดาความคิดของคนจำนวนมาก
หรืออย่าพยายามคิดว่ามันจะเป็นอย่างที่คุณคิด
... เพราะตลาดมันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะคิดยังไง (ยกเว้นคุณจะเป็น Influencer)
- สิ่งที่คุณจะคิดถึงถัดไปคือเครื่องมือในการเทรด
... Fancy
Indicator อันตรายมากถ้าคุณไม่เข้าใจที่ไปที่มาของมัน
ในขณะเดียวก็ไม่แนะนำให้หา Holy Grail เพราะไม่มีอินดิเคเตอร์ใด แม่นยำ 100% ... แนะนำให้ทำความเข้าใจ
ที่มาที่ไป หรือสูตรคำนวนของ Indicators ทั่วไปนี่แหละ พอคุณเข้าใจแล้ว คุณจะเข้าใจวิธีการใช้ วิธีการ adapt และ
อาจจะครีเอทอินดิเคเตอร์ใหม่เองได้
โดยอัตโนมัติ เพราะมองเห็นความไม่เมคเซนท์บางอย่างของมัน คริคริ
- สิ่งสุดท้ายเมื่อคุณเริ่มเทรดจริง
คุณจำเป็นที่จะต้องจดบันทึกหลายๆอย่าง ทั้งในส่วนของ Method และ Emotion เพื่อหาจุดอ่อน
หรือข้อบกพร่องแล้วนำไปหาวิธีการแก้ไข
เพราะถ้าคุณไม่สามารถปรับระบบให้มันถูกจริตกับคุณได้ สุดท้ายคุณจะหยุดเทรด
ถึงแม้ว่าระบบนั้นๆ จะดีแค่ไหนก็ตาม
แต่ถ้าใจคุณรับอารมณ์หน้างานไม่ได้ ทุกอย่างจบ
************ ใครมีอะไรเพิ่มเติมเมนท์เลยน๊า
เราคงเก็บได้ไม่ครบทั้งหมด ************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)